หะดีษเลขที่ 4
4 ประการที่ถูกกำหนดแก่มนุษย์
عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ مَسْعُوْدٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْْهُ قَالَ : حَدَّثَنَا رَسُوْلُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ الصَّادِقُ المَصْدُوْقُ { إِنَّ أحَدَكُمْ يُجْمَعُ خَلْقُهُ فِيْ بَطْنِ أُمِّهِ أَرْبَعِيْنَ يَوْمًا نُطْفَة، ثُمَّ يَكُوْنُ عَلَقَةً مِثْلَ ذَلِكَ، ثُمَّ يَكُوْنُ مُضْغَةً مِثْلَ ذَلِكَ، ثُمَّ يُرْسَلُ اللَّهُ إِلَيْهِ المَلَك، فَيَنْفُخُ فِيْهِ الرُّوْحَ، وَيُؤْمَرُ بِأَرْبَعِ كَلِمَاتٍ : بِكَتْبِ رِزْقِهِ وَعَمَلِهِ وَأَجَلِهِ، وَشَقِيٌّ أَوْ سَعِيْدٌ، فَوَالَّذِيْ لَا إِلَهَ غَيْرُهُ إِنَّ أَحَدَكُم لَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ الجَنَّةِ حَتَّى مَا يَكُوْنَ بَيْنَهُ وَبَيْنَهَا إِلَّا ذِرَاعٌ، فَيَسْبِقُ عَلَيْهِ الكِتَابُ فَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ النَّارِ فَيَدْخُلُهَا، وَإِنَّ أَحَدَكُمْ لَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ النَّارِ حَتَّى مَا يَكُوْنَ بَيْنَهُ وَبَيْنَهَا إِلَّا ذِرَاعٌ، فَيَسْبِقُ عَلَيْهِ الكِتاَبُ، فَيَعْمَلُ بِعَمَلَ أَهْلِ الجَنَّةِ فَيَدْخُلُها }
رَوَاهُ البُخَارِيُّ وَمُسْلِمٌ
จากท่านอับดุลลอฮฺ บินมัสอู๊ด เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า : ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ท่านคือผู้สัตย์จริงและได้รับการยอมรับในความสัตย์จริง ได้รายงานแก่พวกเราว่า “แท้จริงแต่ละคนในหมู่พวกท่านได้ถูกรวบรวมเป็นรูปร่างขึ้นมาในมดลูกของแม่เป็นเวลา 40 วัน ในรูปของนุฏฟะฮฺ (น้ำอสุจิ) หลังจากนั้นก็กลายเป็นก้อนเลือดในระยะเวลาเดียวกัน (40 วัน) หลังจากนั้นก็กลายเป็นก้อนเนื้อในช่วงระยะเวลาเดียวกันอีก (40 วัน) แล้วอัลลอฮฺก็ส่งมลาอิกะฮฺมายังเขา มะลาอิกะฮฺก็จะเป่าวิญญาณ (รูหฺ) เข้าไปในร่างของเขา และมลาอิกะฮฺก็ถูกบัญชาให้บันทึก 4 คำ (เรื่อง) ได้แก่ บันทึกปัจจัยยังชีพ (ริซกี) ของเขา, อายุขัยของเขา, การงานของเขา และสุขหรือทุกข์ (ของเขา) ขอสาบานต่อผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้า (ที่แท้จริง) อื่นใดนอกจากพระองค์ แท้จริงคนหนึ่งคนใดในพวกท่านจะกระทำการงานของชาวสวรรค์ กระทั่งไม่มีอะไรอยู่ระหว่างเขากับสวรรค์นอกจากห่างกันแค่ 1 ศอกเท่านั้น แต่การบันทึกถูกกำหนดแก่เขาแล้ว ดังนั้น เขาจึงกระทำการงานของชาวนรก แล้วเขาก็เข้าไปในนรก และแท้จริงแล้วคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านจะกระทำการงานของชาวนรก กระทั่งไม่มีอะไรระหว่างเขากับนรกนอกจากห่างแค่ 1 ศอกเท่านั้น แต่การบันทึกถูกกำหนดแก่เขาแล้ว ดังนั้น เขาจึงด้กระทำการงานของชาวสวรรค์ แล้วเขาก็ได้เข้าไปในสวนสวรรค์”
บันทึกโดยบุคอรีย์ (หะดีษเลขที่ 3208, 3332, 6594 และ 7454) และมุสลิม (หะดีษเลขที่ 2643)
คำอธิบาย
อธิบายหะดีษ
คำกล่าวที่ท่านนบีที่ว่า “แท้จริงแต่ละคนในหมู่พวกท่านได้ถูกรวบรวมเป็นรูปร่างขึ้นมาในมดลูกของแม่เป็นเวลา 40 วัน ในรูปของนุฏฟะฮฺ (น้ำอสุจิ)” รายงานจากท่านอิบนุมัสอูดกล่าวว่า “แท้จริงเมื่อน้ำอสุจิตกลงในมดลูก มันจะแพร่กระจายไปตามเส้นผมและเล็บทุกส่วน แล้วจะคงอยู่เป็นเวลา 40 วัน หลังจากนั้นมันจะเคลื่อนตัวลงในมดลูก แล้วกลายเป็นก้อนเลือด” ท่านกล่าวว่า “นั่นคือการรวบรวมของมัน”
ขั้นตอนการสร้างทารก
คำกล่าวของท่านที่ว่า “หลังจากนั้นก็กลายเป็นก้อนเลือดในระยะเวลาเดียวกัน” หมายถึง 40 วัน และ “อัลอะละเกาะฮฺ” คือก้อนเลือดก้อนหนึ่ง
“หลังจากนั้นก็กลายเป็นก้อนเนื้อในช่วงระยะเวลาเดียวกัน” หมายถึง 40 วัน และ “อัลมุฎเฆาะฮฺ” คือก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง
“แล้วอัลลอฮฺก็ส่งมลาอิกะฮฺมายังเขา มะลาอิกะฮฺก็จะเป่าวิญญาณ (รูหฺ) เข้าไปในร่างของเขา และมลาอิกะฮฺก็ถูกบัญชาให้บันทึก 4 คำ (เรื่อง) ได้แก่ บันทึกปัจจัยยังชีพ (ริซกี) ของเขา, อายุขัยของเขา, การงานของเขา และสุขหรือทุกข์ (ของเขา)”
หะดีษนี้ชี้ให้เห็นว่า ทารกจะผ่านการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลา 120 วัน ใน 3 ระยะ โดยแต่ละระยะใช้เวลา 40 วัน ใน 40 วันแรกเป็นน้ำอสุจิ แล้วใน 40 วันที่สองเป็นก้อนเลือด จากนั้นใน 40 วันที่สามเป็นก้อนเนื้อ หลังจาก 120 วัน มลาอิกะฮฺจะเป่าวิญญาณเข้าไป และบันทึก 4 ประการนี้
อัลลอฮฺได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของทารกในระยะต่าง ๆ นี้ไว้ในหลายทจุดของอัลกุรอาน เช่นดำรัสของพระองค์ที่ว่า
﴾يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِن كُنتُمْ فِي رَيْبٍ مِّنَ الْبَعْثِ فَإِنَّا خَلَقْنَاكُم مِّن تُرَابٍ ثُمَّ مِن نُّطْفَةٍ ثُمَّ مِنْ عَلَقَةٍ ثُمَّ مِن مُّضْغَةٍ مُّخَلَّقَةٍ وَغَيْرِ مُخَلَّقَةٍ لِّنُبَيِّنَ لَكُمْ وَنُقِرُّ فِي الْأَرْحَامِ مَا نَشَاءُ إِلَىٰ أَجَلٍ مُّسَمًّى ﴿
โอ้มนุษย์ทั้งหลาย! หากพวกเจ้าอยู่ในความสงสัยเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพ แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากดิน แล้วจากน้ำอสุจิ แล้วจากก้อนเลือด แล้วจากก้อนเนื้อที่ถูกสร้างให้เป็นรูปร่างและไม่เป็นรูปร่าง เพื่อเราจะได้แจกแจงแก่พวกเจ้า และเราทำให้สิ่งที่เราประสงค์คงอยู่ในมดลูกไปจนถึงเวลาที่กำหนดไว้ (อัลหัจญ์ 22 : 5)
และพระองค์ได้กล่าวถึง 3 ระยะนี้คือ อันนุฏฟะฮฺ (น้ำอสุจิ) อัลอะละเกาะฮฺ (ก้อนเลือด) และอัลมุฎเฆาะฮฺ (ก้อนเนื้อ) ในหลายจุดของอัลกุรอาน
และในอีกจุดหนึ่ง พระองค์ได้กล่าวถึงระยะอื่นเพิ่มเติม โดยพระองค์ได้ตรัสในสูเราะฮฺอัลมุอ์มินูนว่า
﴾ وَلَقَدْ خَلَقْنَا الْإِنسَانَ مِن سُلَالَةٍ مِّن طِينٍ ثُمَّ جَعَلْنَاهُ نُطْفَةً فِي قَرَارٍ مَّكِينٍ ثُمَّ خَلَقْنَا النُّطْفَةَ عَلَقَةً فَخَلَقْنَا الْعَلَقَةَ مُضْغَةً فَخَلَقْنَا الْمُضْغَةَ عِظَامًا فَكَسَوْنَا الْعِظَامَ لَحْمًا ثُمَّ أَنشَأْنَاهُ خَلْقًا آخَرَ فَتَبَارَكَ اللَّهُ أَحْسَنُ الْخَالِقِينَ ﴿
และแท้จริงเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้จากดิน แล้วเราได้ทำให้เขาเป็นน้ำอสุจิอยู่ในที่พำนักอันมั่นคง แล้วเราได้สร้างน้ำอสุจิให้เป็นก้อนเลือด แล้วเราได้สร้างก้อนเลือดให้เป็นก้อนเนื้อ แล้วเราได้สร้างก้อนเนื้อให้เป็นกระดูก แล้วเราได้หุ้มกระดูกด้วยเนื้อ หลังจากนั้นเราได้สร้าง (คือเป่าวิญญาณ) เขาขึ้นมาเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้น อัลลอฮฺทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง” (อัลมุอ์มินูน 23 : 12-14)
นี่คือ 7 ขั้นตอนที่อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้ในอายะฮฺนี้เกี่ยวกับการสร้างลูกหลานของอาดัมก่อนการเป่าวิญญาณ ส่วนการเป่าวิญญาณนั้นมีรายงานที่ชัดเจนจากบรรดาเศาะหาบะฮฺว่าจะมีการเป่าวิญญาณหลังจาก 4 เดือน ดังที่ปรากฏในหะดีษของท่านอิบนุมัสอูด
อิมามอะหมัดได้ทำให้มัซฮับของท่านเป็นที่รู้จักตามความชัดเจนของหะดีษของท่านอิบนุมัสอูด คือทารกจะได้รับการเป่าวิญญาณหลังจาก 4 เดือน และหากทารกแท้งหลังจากครบ 4 เดือน ก็จะต้องละหมาดให้ เนื่องจากได้รับการเป่าวิญญาณแล้วจึงเสียชีวิต
ส่วนการบันทึกของมลาอิกะฮฺนั้น หะดีษของท่านอิบนุมัสอูดชี้ให้เห็นว่าจะเกิดขึ้นหลังจาก 4 เดือนเช่นกัน ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
มีรายงานจากท่านอนัส : จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า “อัลลอฮฺได้มอบหมายมลาอิกะฮฺท่านหนึ่งประจำมดลูก โดยมลาอิกะฮฺจะกล่าวว่า ‘โอ้พระผู้อภิบาล น้ำอสุจิ โอ้พระผู้อภิบาล ก้อนเลือด โอ้พระผู้อภิบาล ก้อนเนื้อง และเมื่ออัลลอฮฺประสงค์จะกำหนดการสร้าง มลาอิกะฮฺจะกล่าวว่า ‘โอ้พระผู้อภิบาล เป็นชายหรือหญิง? เป็นผู้มีความทุกข์หรือความสุข? แล้วปัจจัยยังชีพ (ริซกี) เป็นอย่างไร? แล้วอายุขัยเท่าไร?’ แล้วก็จะถูกบันทึกเช่นนั้นในท้องของมารดา” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 318 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2646)
และชัดเจนว่าหะดีษนี้สอดคล้องกับหะดีษของท่านอิบนุมัสอูด เพียงแต่ไม่ได้ระบุระยะเวลาเอาไว้
และการบันทึกที่ถูกบันทึกแก่ทารกในท้องมารดานี้แตกต่างจากการบันทึกลิขิต (อัลเกาะดัร) ที่มีมาก่อนการสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ดังที่มีระบุไว้ในดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
﴾ مَا أَصَابَ مِن مُّصِيبَةٍ فِي الْأَرْضِ وَلَا فِي أَنفُسِكُمْ إِلَّا فِي كِتَابٍ مِّن قَبْلِ أَن نَّبْرَأَهَا ﴿
ไม่มีเคราะห์กรรมใดเกิดขึ้นในแผ่นดินและในตัวของพวกเจ้า เว้นแต่มีอยู่ในบันทึกก่อนที่เราจะบังเกิดมันขึ้นมา (อัลหะดีด 57 : 22)
และมีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินอัมรู : จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺได้กำหนดลิขิตของสรรพสิ่งทั้งหลายก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นเวลา 50,000 ปี” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2653)
และตัวบทต่าง ๆ มากมายที่กล่าวถึงการบันทึกที่มีมาก่อนเกี่ยวกับความสุขและความทุกข์ รายงานจากท่านอลี บินอบีฏอลิบ : จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า ท่านได้กล่าวว่า “ไม่มีชีวิตใดที่ถูกให้กำเนิดมา เว้นแต่อัลลอฮฺได้ทรงบันทึกตำแหน่งของเขาในสวรรค์หรือนรก และได้ถูกบันทึกแล้วว่าเขาเป็นผู้มีความทุกข์หรือความสุข” ชายคนหนึ่งจึงถามว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺครับ เราจะไม่พึ่งพาสิ่งที่ถูกบันทึกไว้แล้วของเราและละทิ้งการงานหรือครับ?” ท่านเราะสูลก็ตอบว่า “จงทำงานเถิด เพราะทุกคนจะถูกทำให้ง่ายดายสำหรับสิ่งที่เขาถูกสร้างมาเพื่อมัน สำหรับผู้ที่มีความสุข (คือชาวสวรรค์) นั้นเขาจะถูกทำให้ง่ายดายสำหรับการงานของผู้ที่มีความสุข (ชาวสวรรค์) และผู้มีความทุกข์ (คือชาวนรก) ก็จะถูกทำให้ง่ายดายสำหรับการงานของผู้ที่มีความทุกข์ (ชาวนรก)” แล้วท่านก็อ่าน
﴾ فَأَمَّا مَنْ أَعْطَى وَاتَّقَى ﴿
สำหรับผู้ที่บริจาคและยำเกรง (อัลลัยลฺ 92 : 5)[1] (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 4945 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2647)
ดังนั้น ในหะดีษบทนี้แสดงให้เห็นว่าความสุขและความทุกข์ได้ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้ว และสิ่งนั้นถูกกำหนดไว้ตามการงาน และทุกคนจะถูกทำให้ง่ายดายสำหรับสิ่งที่เขาถูกสร้างมาเพื่อมัน ไม่ว่าจะเป็นการงานที่เป็นสาเหตุแห่งความสุขหรือความทุกข์
ความสุขและความทุกข์ขึ้นอยู่กับบั้นปลาย
ในหะดีษของท่านอิบนุมัสอูดระบุว่า ความสุขและความทุกข์ขึ้นอยู่กับบั้นปลายของการงาน
รายงานจากท่านมุอาวิยะฮฺกล่าวว่า : ฉันเคยฟังท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมกล่าวว่า “แท้จริงการงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับบั้นปลายของมัน เปรียบดั่งภาชนะ หากส่วนบนของมันดี ส่วนล่างของมันก็จะดี และหากส่วนบนของมันเลว ส่วนล่างของมันก็จะเลวด้วย”(บันทึกโดยอะหมัด หะดีษเลขที่ 16853, อิบนุมาญะฮฺ หะดีษเลขที่ 4199 และอิบนุหิบบาน ดังที่ปรากฏในหนังสืออัลอิหฺสาน หะดีษเลขที่ 339)
และรายงานจากท่านสะฮลฺ บินสะอดฺ ว่า : แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้เผชิญหน้ากับพวกตั้งภาคี (มุชริกีน) และในหมู่สหายของท่านมีชายคนหนึ่งที่ไม่ปล่อยให้ศัตรูคนใดหลุดรอดไปได้ เขาจะไล่ฟันด้วยดาบของเขา ผู้คนจึงกล่าวว่า “วันนี้ไม่มีใครในหมู่พวกเราที่ทำได้ดีไปกว่าเขาคนนี้” ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ได้กล่าวว่า “เขาเป็นชาวนรก” ชายคนหนึ่งในหมู่ผู้คนจึงกล่าวว่า “ฉันจะติดตามเขาไป” เขาก็ติดตามชายคนนั้น ต่อมาชายคนนั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วเขาก็เร่งความตาย โดยวางด้ามดาบลงบนพื้นและปลายแหลมของมันระหว่างหน้าอกของเขา แล้วเขาก็ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนดาบจนฆ่าตัวเองตาย ชายผู้ติดตามจึงกลับมาหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม แล้วกล่าวว่า “ฉันขอปฏิญาณว่าท่านคือเราะสูลของอัลลอฮฺ” แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง
ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงกล่าวว่า “แท้จริงบุคคลหนึ่งอาจทำการงานของชาวสวรรค์ตามที่ผู้คนเห็น แต่เขาเป็นชาวนรก และแท้จริงบุคคลหนึ่งอาจทำการงานของชาวนรกตามที่ผู้คนเห็น แต่เขาคือชาวสวรรค์” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 2898 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 112) ในรายงานหนึ่งของอัลบุคอรีย์มีระบุเพิ่มเติมว่า “แท้จริงการงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับบั้นปลายสุดท้าย” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 6493)
โดยที่คำกล่าวของท่านที่ว่า “ตามที่ผู้คนเห็น” เป็นการบ่งชี้ว่าความจริงภายในอาจตรงกันข้ามกัน และการบั้นปลายที่เลวร้ายนั้นเกิดจากความเสียหายที่ซ่อนอยู่ภายในของบ่าวซึ่งไม่ได้ปรากฏให้ผู้คนเห็น ส่วนการงานที่ชั่วและสิ่งที่คล้ายคลึงกันนั้น ลักษณะที่ซ่อนเร้นนี้จะนำไปสู่การบั้นปลายที่เลวร้ายขณะเสียชีวิต
และเช่นเดียวกัน บางครั้งบุคคลหนึ่งอาจทำการงานของชาวนรก แต่ในจิตใจของเขามีคุณลักษณะที่ดีที่ซ่อนเร้นไว้ และคุณลักษณะนั้นจะมีชัยในช่วงท้ายของชีวิต บั้นปลายที่ดีงามจึงเป็นของเขา
การทำบาปอย่างต่อเนื่องคือสาเหตุของบั้นปลายที่เลวร้าย และชาวสะลัฟหวาดกลัวต่อมัน
อับดุลอะซีซ บินอบีรุวาด กล่าวว่า : ฉันเคยเห็นชายคนหนึ่งขณะใกล้จะเสียชิวิต เขาถูกสอนให้กล่าว “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” (คำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) แต่คำสุดท้ายที่เขากล่าวคือ “ฉันขอปฏิเสธในสิ่งที่ท่านพูด” แล้วเขาก็ตายในสภาพนั้น อับดุลอะซีซกล่าวว่า : ฉันจึงสอบถามเกี่ยวกับเขา ปรากฏว่าเขาเป็นคนที่ติดเหล้า อับดุลอะซีซจึงกล่าวว่า “จงกลัวบาปทั้งหลายเถิด เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนั้น”
โดยสรุปแล้ว บั้นปลายสุดท้ายนั้นเป็นมรดก (ผลลัพธ์) ของสิ่งที่มาก่อนหน้า และทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยเหตุนี้ชาวสะลัฟ (บรรพชนรุ่นก่อน) จึงหวาดกลัวอย่างมากต่อบั้นปลาย (การจบชีวิตลง) ที่เลวร้าย และบางคนในหมู่พวกเขาเป็นกังวลเมื่อมีการกล่าวถึงสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ก่อน
มีผู้กล่าวว่า แท้จริงหัวใจของบรรดาผู้กระทำความดีนั้นผูกพันอยู่กับบั้นปลายของชีวิต พวกเขาจะถามว่า “พวกเราจะจบชีวิตอย่างไร?” และหัวใจของบรรดาผู้ใกล้ชิด (กับอัลลอฮฺ) นั้นผูกพันอยู่กับสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ก่อนหน้า พวกเขาจะถามว่า “อะไรคือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้สำหรับเรา?”
และสุฟยาน (อัษเษารีย์) นั้นเป็นกังวลอย่างมากต่อสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ก่อนหน้าและบั้นปลายสุดท้าย ท่านมักจะร้องไห้และกล่าวว่า “ฉันกลัวเหลือเกินว่าในบันทึกที่มีมาก่อนนั้นฉันจะเป็นผู้ที่ต้องประสบกับความทุกข์” และท่านก็ร้องไห้พลางกล่าวว่า “ฉันกลัวเหลือเกินว่าความศรัทธาจะถูกพรากไปจากฉันขณะเสียชีวิต”
ด้วยเหตุนี้ บรรดาเศาะหาบะฮฺและสะละฟุศศอลิหฺ (บรรพชนที่ดี) ที่มาหลังจากพวกท่านจึงหวาดกลัวว่าการกลับกลอก (นิฟาก) จะเกิดขึ้นกับตัวพวกเขาเอง และพวกเขากังวลและหวั่นเกรงต่อมันเป็นอย่างมาก ดังนั้น ผู้ศรัทธาจะกลัวว่าการกลับกลอกเล็ก (นิฟากเล็ก) จะเกิดขึ้นกับตัวเอง และกลัวว่ามันจะครอบงำเขาในบั้นปลายของชีวิต จนนำไปสู่การกลับกลอกใหญ่ (นิฟากใหญ่) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าความเสียหายที่ซ่อนเร้นนั้นจะนำไปสู่บั้นปลายที่เลวร้าย
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม มักจะกล่าวในดุอาอ์ของท่านบ่อย ๆ ว่า
يَا مُقَلِّبَ القُلُوْبَ ثَبِّتْ قَلْبِيْ عَلَى دِيْنِكَ
“โอ้ผู้ทรงพลิกผันหัวใจ โปรดทำให้หัวใจของข้าพระองค์มั่นคงบนศาสนาของพระองค์ด้วยเถิด”
มีผู้ถามท่านว่า “โอ้นบีของอัลลอฮฺ พวกเราศรัทธาต่อท่านและสิ่งที่ท่านนำมา ท่านยังหวาดกลัวเพื่อพวกเราอีกหรือ?” ท่านนบีตอบว่า “ใช่แล้ว แท้จริงหัวใจทั้งหลายอยู่ระหว่างสองนิ้วจากนิ้วทั้งหลายของอัลลอฮฺ พระองค์ทรงพลิกผันมันตามที่พระองค์ทรงประสงค์”(บันทึกโดยอะหมัด หะดีษเลขที่ 13696,อัตติรมิซีย์ หะดีษเลขที่ 2140 และอิบนุมาญะฮฺ หะดีษเลขที่ 3834) และมีหะดีษอีกมากมายที่มีความหมายเดียวกันนี้
——————-
[1] คือ ท่านอ่านอายะฮฺที่ 5-10 ของสูเราะฮฺอัลลัยลฺ – ผู้แปล