หะดีษเลขที่ 6
ออกห่างจากสิ่งคลุมเครือ
عَنِ النُّعْمَانِ بْنِ بَشِيْرٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا قَالَ : سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُوْلُ { إِنَّ الحَلَالَ بَيِّنٌ وَإِنَّ الحَرَامَ بَيِّنٌ، وَبَيْنَهُمَا أُمُوْرٌ مُشْتَبِهَاتٌ، لَا يَعْلَمُهُنَّ كَثِيْرٌ مِنَ النَّاسِ، فَمَنِ اتَّقَى الشُّبُهَاتِ اسْتَبْرَأَ لِدِيْنِهِ وَعِرْضِهِ، وَمَنْ وَقَعَ فِي الشُّبُهَاتِ وَقَعَ فِي الحَرَام، كَالرَّاعِي يَرْعَى حَوْلَ الحِمَى يُوْشِكُ أَنْ يَرْتَعَ فِيْهِ، أَلَا وَإِنَّ لِكُلِّ مَلِكٍ حِمىً، أَلَا وَإِنَّ حِمَى اللَّهِ مُحَارِمُهُ، أَلَا وَإِنَّ فِي الجَسَدِ مُضغَةً إِذَا صَلَحَتْ صَلَحَ الجَسَدُ كُلُّهُ، وَإِذَا فَسَدَتْ فَسَدَ الجَسَدُ كُلُّهُ، أَلَا وَهِيَ القَلبُ }
رَوَاهُ البُخَارِيُّ وَمُسْلِمٌ
จากท่านอันนุอฺมาน บินบะชีร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า : ฉันเคยฟังท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงสิ่งที่หะลาล (อนุมัติ) นั้นชัดแจ้ง และสิ่งที่หะรอม (ต้องห้าม) ก็ชัดแจ้ง และระหว่างทั้งสองนั้นมีสิ่งต่าง ๆ ที่ชุบุฮาต (คลุมเครือ) ซึ่งคนส่วนมากไม่รู้ ดังนั้น ใครป้องกันตัวเองจากสิ่งที่คลุมเครือทั้งหลาย เขาก็ได้ปกป้องศาสนาและเกียรติของเขา (ให้ปลอดมลทิน) และใครที่ตกลงไปในสิ่งที่คลุมเครือนั้น เขาก็ได้ตกลงไปในเรื่องที่ต้องห้าม (หะรอม) เปรียบเสมือนผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์อยู่รอบบพื้นที่หวงห้าม ไม่ช้ามันก็จะเล็ดลอดเข้าไปในข้างในนั้น พึงทราบเถิดว่า กษัตริย์ทุกคนล้วนมีเขตหวงห้าม และพึงทราบเถิดว่า แท้จริงเขตหวงห้ามของอัลลอฮฺคือสิ่งต้องห้ามทั้งหลายของพระองค์ และพึงทราบเถิดว่า ในร่างกายนั้นมีก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทั้งหมดก็จะดีไปด้วย แต่เมื่อมันเสียหาย ร่างกายทั้งหมดก็จะเสียหายไปด้วย พึงทราบเถิดว่ามันคือหัวใจ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 52 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2051)
คำอธิบาย
อธิบายหะดีษ
คำกล่าวที่ว่า “แท้จริงสิ่งที่หะลาล (อนุมัติ) นั้นชัดแจ้ง และสิ่งที่หะรอม (ต้องห้าม) ก็ชัดแจ้ง และระหว่างทั้งสองนั้นมีสิ่งต่าง ๆ ที่ชุบุฮาต (คลุมเครือ) ซึ่งคนส่วนมากไม่รู้”
ความหมายคือ สิ่งที่หะลาลโดยแท้นั้นชัดเจน ไม่มีความคลุมเครือ เช่นเดียวกับสิ่งที่หะรอมโดยแท้ แต่ระหว่าง 2 สิ่งนี้มีสิ่งต่าง ๆ ที่คลุมเครือสำหรับคนจำนวนมากว่ามันเป็นสิ่งที่อนุมัติหรือต้องห้าม? ส่วนบรรดาผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งนั้น สิ่งเหล่านี้จะไม่คลุมเครือสำหรับพวกเขา และพวกเขารู้ว่ามันอยู่ในประเภทใด
สำหรับสิ่งที่หะลาล โดยแท้นั้น เช่น การกินสิ่งดี ๆ จากพืชผล ผลไม้ สัตว์เลี้ยง การดื่มเครื่องดื่มที่ดี การสวมใส่สิ่งที่จำเป็นจากผ้าฝ้าย ลินิน ขนสัตว์ หรือเส้นผม การแต่งงาน และอื่น ๆ
ส่วนสิ่งที่หะรอมโดยแท้ เช่น การกินสัตว์ที่ตายเอง เลือด เนื้อหมู การดื่มเหล้า การแต่งงานกับมะหฺร็อม (ผู้ที่ห้ามแต่งงาน) การสวมใส่ผ้าไหมสำหรับผู้ชาย และเช่นการหารายได้ที่ต้องห้าม เช่น ดอกเบี้ย การพนัน ราคาของสิ่งที่ขายไม่ได้ การเอาทรัพย์สินที่ถูกยึดด้วยการขโมย หรือการยึด หรือการหลอกลวง หรือสิ่งที่คล้ายกัน
ส่วนสิ่งที่ชุบุฮาตก็เช่น การกินบางสิ่งที่มีความเห็นต่างว่ามันหะลาลหรือหะรอม อาจจะเป็นวัตถุ เช่น ม้า ล่อ ลา ตัวฎ็อบ (แย้ทะเลทราย) และการดื่มสิ่งที่มีความเห็นต่างว่าหะรอมหรือไม่ อย่างน้ำหมักที่ปริมาณมากของมันทำให้มึนเมา และการสวมใส่สิ่งที่มีความเห็นต่างว่าหะลาลหรือไม่ อย่างการสวมใส่หนังของสัตว์นักล่าและที่คล้ายคลึงกัน หรืออาจเป็นการหารายได้ที่มีความเห็นต่าง เช่น ปัญหาเกี่ยวกับอัลอีนะฮฺและอัตตะวัรรุก[1] และสิ่งที่คล้ายกับมัน
ความสมบูรณ์และครอบคลุมของศาสนาต่อสิ่งที่ประชาชาตินี้ต้องการ
สรุปคือ อัลลอฮุ ตะอาลา ได้ประทานคัมภีร์ลงมาแก่นบีของพระองค์ และได้อธิบายสิ่งที่ประชาชาตินี้ต้องการไว้แล้วในนั้นเกี่ยวกับสิ่งที่หะลาลและหะรอม ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
﴾ وَنَزَّلْنَا عَلَيْكَ الْكِتَابَ تِبْيَنَا لِكُلِّ شَيْءٍ ﴿
และเราได้ประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้าเพื่อเป็นคำอธิบายแก่ทุกสิ่ง (อันนะหลฺ 16 : 89)
มุญาฮิดและคนอื่น ๆ กล่าวว่า “(คือ) แก่ทุกสิ่งที่พวกเขาถูกสั่งใช้หรือถูกห้าม”
และพระองค์ทรงมอบหมายการอธิบายสิ่งที่คลุมเครือของวะหฺยู (วิวรณ์) แก่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า
﴾ وَأَنزَلْنَا إِلَيْكَ الذِّكْرَ لِتُبَيِّنَ لِلنَّاسِ مَا نُزِّلَ إِلَيْهِمْ ﴿
และเราได้ประทานอัซซิกรฺ (อัลกุรอาน) ลงมาแก่เจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้อธิบายแก่มนุษย์ถึงสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเขา (อันนะหลฺ 16 : 44)
และท่านเราะสูลไม่ได้เสียชีวิตไปก่อนที่ศาสนานี้จะถูกทำให้สมบูรณ์แก่ท่านและประชาชาติของท่าน ด้วยเหตุนี้จึงมีการประทานโองการที่ทุ่งอะเราะฟะฮฺก่อนการเสียชีวิตของท่านเล็กน้อยว่า
﴾ الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الْإِسْلَامَ دِينًا ﴿
วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว และข้าได้ให้ความโปรดปรานของข้าครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว และข้าได้เลือกให้อิสลามเป็นศาสนาแก่พวกเจ้า (อัลมาอิดะฮฺ 5 :3)
และท่านเคยกล่าวว่า “ฉันได้ทิ้งพวกท่านไว้บนเส้นทางที่ขาวสะอาด (กระทั่ง) กลางคืนของมันเหมือนกับกลางวัน ไม่มีผู้ใดหันเหออกจากมันเว้นเขาจะเป็นผู้ที่พินาศ” (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษเลขที่ 17142 และอิบนุ มาญะฮฺ หะดีษเลขที่ 43)
และท่านอบูซัรรฺเคยกล่าวว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เสียชีวิตลง ในขณะที่ไม่มีนกตัวใดที่กระพือปีกบนท้องฟ้า นอกจากท่านได้กล่าวถึงความรู้เกี่ยวกับมันแก่พวกเราแล้ว (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษเลขที่ 21361 และ 162)
โดยรวมแล้ว อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ไม่ได้ปล่อยให้มีสิ่งที่หะลาลหรือหะรอมใดเว้นแต่ได้อธิบายไว้แล้ว แต่บางอย่างมีคำอธิบายที่ชัดเจนกว่าอีกบางอย่าง
ประชาชาตินี้จะไม่รวมตัวกันบนความหลงผิด
จำเป็นต้องมีผู้รู้ในประชาชาตินี้ที่คำพูดของเขาสอดคล้องกับความจริง โดยที่เขาจะเป็นผู้รู้ในบทบัญญัตินี้ ส่วนคนอื่นอาจเห็นว่าเรื่องนั้นคลุมเครือและไม่ได้เป็นผู้รู้ในเรื่องนี้ เพราะประชาชาตินี้จะไม่รวมตัวกันบนความหลงผิด และกลุ่มคนที่มดเท็จนั้นจะไม่มีชัยเหนือกลุ่มคนผู้สัจจริง ดังนั้น ความจริงจะไม่ถูกทอดทิ้ง แต่จะถูกปฏิบัติในทุกเมืองและทุกยุคสมัย
ด้วยเหตุนี้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงกล่าวเกี่ยวกับสิ่งที่คลุมเครือว่า “ซึ่งคนส่วนมากไม่รู้เกี่ยวกับมัน” ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีบางคนที่รู้มัน แค่มันคลุมเครือสำหรับผู้ที่ไม่รู้ (ความจริง) เกี่ยวกับมันเท่านั้น ไม่ได้คลุมเครือในตัวมันเอง นี่คือสาเหตุที่ทำให้บางสิ่งคลุมเครือสำหรับนักวิชาการจำนวนมาก
อิมามอะหฺมัดได้อธิบายความคลุมเครือ (ชุบฮะฮฺ) ว่ามันอยู่ระหว่างหะลาลและหะรอม หมายถึง หะลาลโดยแท้และหะรอมโดยแท้ และท่านได้กล่าวว่า “ผู้ใดที่ระวังมัน เขาก็ได้ปกป้องศาสนาของตัวเองแล้ว” และบางครั้งท่านอธิบายว่า (ความคลุมเครือนั้น) เป็นการปะปนกันของหะลาลและหะรอม
จากตรงนี้จึงแตกแขนงออกไปยังเรื่องการการทำธุรกรรมกับผู้ที่มีทรัพย์สินหะลาลและหะรอมปะปนกัน หากทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาเป็นทรัพย์สินที่หะรอม อิมามอะหฺมัดกล่าวว่าควรหลีกเลี่ยง เว้นแต่จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยหรือไม่รู้ และสหายของเรามีความเห็นต่างกันว่า มันน่ารังเกียจหรือต้องห้าม? เป็น 2 ทัศนะ (คือ) หากทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาเป็นทรัพย์สินที่หะลาล การทำธุรกรรมและการบริโภคจากทรัพย์สินของเขาก็เป็นสิ่งที่อนุญาต
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านเคยทำธุรกรรมกับพวกมุชริกีน (ตั้งภาคี) และชาวคัมภีร์ ทั้งที่พวกท่านรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้หลีกเลี่ยงสิ่งหะรอมทั้งหมด
และหากเรื่องนั้นคลุมเครือ มันก็เป็นชุบฮะฮฺ (สิ่งคลุมเครือ) และการละทิ้งมันคือความสำรวม (อัลวัรอฺ) สุฟยานกล่าวว่า “ฉันไม่ชอบสิ่งนั้น และการละทิ้งมันเป็นสิ่งที่ฉันชอบมากกว่า”
และเมื่อใดที่รู้ว่าตัวสิ่งของนั้น ๆ เป็นสิ่งที่หะรอม ได้มาด้วยวิธีการที่ต้องห้าม การบริโภคมันก็เป็นที่ต้องห้าม และอิบนุอับดุลบัรรฺและท่านอื่น ๆ ได้เล่าถึงมติเอกฉันท์ในเรื่องนี้
ประเภทของผู้คนในเรื่องที่คลุมเครือ
เรื่องที่คลุมเครือซึ่งไม่ชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่หะลาลหรือหะรอมสำหรับคนส่วนใหญ่นั้น บางคนอาจเห็นชัดว่ามันเป็นสิ่งที่หะลาลหรือหะรอม เนื่องจากเขามีความรู้ที่มากกว่า
คำพูดของท่านนบีชี้ให้เห็นว่า ในเรื่องที่คลุมเครือเหล่านี้ มีบางคนที่รู้ และคนส่วนมากไม่รู้
และคำกล่าวของท่านนบีที่ว่า “ดังนั้น ใครป้องกันตัวเองจากสิ่งที่คลุมเครือทั้งหลาย เขาก็ได้ปกป้องศาสนาและเกียรติของเขา (ให้ปลอดมลทิน) และใครที่ตกลงไปในสิ่งที่คลุมเครือนั้น เขาก็ได้ตกลงไปในเรื่องที่ต้องห้าม (หะรอม)” ได้แบ่งผู้คนในเรื่องที่คลุมเครือเป็น 2ประเภท และนี่เป็นการแบ่งสำหรับผู้ที่เห็นว่ามันคลุมเครือเท่านั้น คือผู้ที่ไม่รู้เกี่ยวกับมัน
ส่วนผู้ที่รู้มันและปฏิบัติตามสิ่งที่ความรู้ของเขาชี้นำ นั่นคือคนประเภทที่ 3 ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงเนื่องจากข้อตัดสิน (หุกุ่ม) ของมันชัดเจนอยู่แล้ว (สำหรับเขา) และคนประเภทนี้เป็นประเภทที่ดีที่สุดใน 3 ประเภท เนื่องจากเขารู้ข้อตัดสินของอัลลอฮฺในเรื่องที่คลุมเครือสำหรับผู้คน และปฏิบัติตามความรู้ของเขาในเรื่องนั้น
ส่วนผู้ที่ไม่รู้ถึงข้อตัดสินของอัลลอฮฺในเรื่องเหล่านั้น พวกเขาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 : ผู้ที่ระมัดระวังจากสิ่งคลุมเครือเหล่านี้ เนื่องความคลุมเครือของมันต่อตัวเขา คนแบบนี้เขาได้ปกป้องศาสนาและเกียรติของตนเอง
ความหมายของ “อิสตับเราะอะ” คือการแสวงหาความบริสุทธิ์ให้แก่ศาสนาและเกียรติของเขาจากข้อบกพร่องและตำหนิ
วรรคนี้เป็นหลักฐานว่าผู้ที่กระทำสิ่งที่คลุมเครือนั้นได้นำตัวเองเข้าสู่การถูกตำหนิและการถูกโจมตี ดังที่ชาวสะลัฟบางท่านได้กล่าวว่า “ผู้ใดนำตัวเองไปสู่การถูกกล่าวหา ก็อย่าได้ตำหนิผู้ที่คิดไม่ดีต่อเขา”
และในรายงานหนึ่งระบุว่า “ผู้ใดละทิ้งมันเพื่อปกป้องศาสนาและเกียรติของเขา เขาก็ปลอดภัย” (บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ หะดีษเลขที่ 1205) ความหมายคือ เขาละทิ้งมันด้วยเจตนานี้ คือปกป้องความบริสุทธิ์ของศาสนาและเกียรติของเขาจากข้อบกพร่อง ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์ที่เสียหายอื่น ๆ อย่างการโอ้อวด เป็นต้น
และวรรคนี้ยังเป็นหลักฐานว่า การปกป้องความบริสุทธิ์ของเกียรตินั้นเป็นสิ่งที่ถูกสรรเสริญ เช่นเดียวกับการปกป้องความบริสุทธิ์ของศาสนา
ประเภทที่ 2 : ผู้ที่ตกลงไปในสิ่งที่คลุมเครือ ทั้งที่มันยังคลุมเครือสำหรับเขา
ส่วนผู้ที่กระทำบางสิ่งที่ผู้คนเห็นว่าเป็นสิ่งคลุมเครือ (ชุบุฮาต) เพราะเขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หะลาลจริง ๆ เขาไม่มีความผิดต่ออัลลอฮฺในเรื่องนั้น แต่หากเขากลัวการถูกตำหนิจากผู้คนในเรื่องนั้น การละทิ้งมันก็จะเป็นการปกป้องเกียรติของเขาเอง จึงเป็นสิ่งที่ดี ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวแก่ผู้ที่เห็นท่านยืนอยู่กับท่านหญิงเศาะฟิยยะฮฺว่า “นี่คือเศาะฟิยยะฮฺ บินติหุยัย (ภรรยาของฉันเอง)” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 2035 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 2175)
และหากเขากระทำสิ่งดังกล่าวเพราะเชื่อว่ามันหะลาล ไม่ว่าจะด้วยการวินิจฉัยที่ถูกต้องหรือการปฏิบัติตามผู้อื่น (ตักลีด) ที่ถูกต้อง แต่เขาผิดพลาดในความเชื่อของเขา ข้อตัดสินของเขาก็เหมือนกับคนก่อนหน้านี้ แต่หากเป็นการวินิจฉัยที่อ่อนหรือการปฏิบัติตามผู้อื่น (ตักลีด) ที่ไม่ถูกต้อง และเกิดจากการทำตามอารมณ์เท่านั้น ข้อตัดสินของเขาก็เหมือนกับผู้ที่กระทำมันทั้ง ๆ ที่ยังคลุมเครือสำหรับเขา
และผู้ที่กระทำสิ่งคลุมเครือทั้งที่มันคลุมเครือสำหรับเขา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม บอกว่า เขาได้ตกลงไปในสิ่งหะรอม ซึ่งอธิบายได้ 2 ความหมาย
(1) การที่เขากระทำสิ่งคลุมเครือ (ชุบฮะฮฺ) ทั้งที่เชื่อว่ามันคลุมเครือนั้นเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การกระทำสิ่งหะรอมที่เขาเชื่อว่ามันหะรอมอย่างค่อยเป็นค่อยไปและค่อย ๆ ผ่อนปรนขึ้นเรื่อย ๆ และในรายงานหนึ่งของหะดีษนี้ระบุว่า “และผู้ใดกล้าทำในสิ่งที่เขาสงสัยว่าเป็นบาป หรือสงสัยที่จะกระทำในสิ่งที่ชัดเจน” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 2051)
(2) ผู้ที่กล้าทำในสิ่งที่คลุมเครือสำหรับเขา โดยไม่รู้ว่ามันหะลาลหรือหะรอม โดยไม่มั่นใจว่ามันอาจเป็นสิ่งที่หะรอมจริง ๆ ฉะนั้น เขาก็อาจเผอิญทำสิ่งหะรอมโดยไม่ที่เขารู้ว่ามันหะรอม
และคำกล่าวของท่านนบีที่ว่า “เปรียบเสมือนผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์อยู่รอบพื้นที่หวงห้าม ไม่ช้ามันก็จะเล็ดลอดเข้าไปในข้างในนั้น พึงทราบเถิดว่า กษัตริย์ทุกคนล้วนมีเขตหวงห้าม และพึงทราบเถิดว่า แท้จริงเขตหวงห้ามของอัลลอฮฺคือสิ่งต้องห้ามทั้งหลายของพระองค์” นี่คืออุปมาที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ยกขึ้นมาสำหรับผู้ที่ตกลงไปในสิ่งคลุมเครือ และเพื่อบอกว่าเขาใกล้จะตกลงไปในสิ่งหะรอมโดยแท้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงเปรียบสิ่งต้องห้ามเหมือนเขตหวงห้ามที่กษัตริย์ทั้งหลวงหวงห้ามและมิให้ผู้อื่นเข้าใกล้
อัลลอฮฺทรงมีเขตหวงห้ามคือสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย และพระองค์ทรงห้ามมิให้บ่าวของพระองค์เข้าใกล้มัน และทรงเรียกมันว่า “ขอบเขตของพระองค์” โดยตรัสว่า
﴾ تلك حُدُودُ اللَّهِ فَلَا تَقْرَبُوهَا كَذَلِكَ يُبَيِّنُ اللَّهُ وَآيَاتِهِ لِلنَّاسِ لَعَلَّهُمْ يَتَّقُونَ ﴿
นั่นคือขอบเขตของอัลลอฮฺ ดังนั้น พวกเจ้าอย่าเข้าใกล้มัน เช่นนั้นแหละอัลลอฮฺทรงแจกแจงโองการของพระองค์แก่มนุษย์ หวังว่าพวกเขาจะยำเกรง (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2 : 187)
และในที่นี้มีคำชี้แจงว่าพระองค์ทรงกำหนดสิ่งที่หะลาลและหะรอมแก่พวกเขา ดังนั้น พวกเขาอย่าได้เข้าใกล้สิ่งหะรอม และอย่าล้ำเส้นสิ่งหะลาล
และท่านนบีได้ทำให้ผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์รอบเขตหวงห้ามหรือใกล้มัน มีแนวโน้มที่จะเข้าไปในเขตหวงห้ามและกินในนั้น เช่นเดียวกับผู้ที่ล้ำเส้นสิ่งหะลาลและตกลงไปในสิ่งที่คลุมเครือ เขาก็ได้เข้าใกล้สิ่งหะรอมอย่างที่สุด ก็สวมควรแล้วที่เขาจะปะปนกับสิ่งหะรอมโดยแท้และตกลงไปอยู่ในนั้น
การละทิ้งสิ่งคลุมเครือเป็นส่วนหนึ่งของความยำเกรงที่สมบูรณ์
หะดีษบทนี้ชี้ให้เห็นว่าควรออกห่างจากสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย และมนุษย์ควรสร้างกำแพงกั้นระหว่างตัวเขากับสิ่งเหล่านั้น
ท่านอบุดดัรดาอ์ได้กล่าวว่า “ความยำเกรงที่สมบูรณ์คือการที่บ่าวยำเกรต่องอัลลอฮฺ จนกระทั่งเขายำเกรงต่อพระองค์แม้เพียงน้ำหนักของธุลี และจนกระทั่งเขาละทิ้งบางสิ่งที่เขาเห็นว่าหะลาล เพราะกลัวว่ามันอาจเป็นสิ่งที่หะรอม โดยเป็นม่านกั้นระหว่างเขากับสิ่งหะรอม”
และท่านอัลหะสันได้กล่าวว่า “ความยำเกรงจะยังคงอยู่กับผู้ที่มีความยำเกรง จนกระทั่งพวกเขาละทิ้งสิ่งหะลาลจำนวนมากเพราะกลัวว่าจะเป็นสิ่งที่หะรอม”
และอัษเษารีย์กล่าวว่า “ที่พวกเขาถูกเรียกว่าผู้ยำเกรง ก็เพราะพวกเขายำเกรงในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องยำเกรง”
และมีรายงานจากท่านอิบนุอุมัรว่า ท่านได้กล่าวว่า “แท้จริงฉันชอบที่จะทำให้มีม่านกั้นจากสิ่งหะลาลระหว่างฉันกับสิ่งหะรอมที่ฉันจะไม่ฉีกมันทิ้ง”
สุฟยาน บินอุยัยนะฮฺ ได้กล่าวว่า “บ่าวจะไม่บรรลุถึงแก่นแท้ของการศรัทธา จนกว่าเขาจะสร้างกำแพงกั้นจากสิ่งหะลาบระหว่างเขากับสิ่งหะรอม และจนกว่าเขาจะละทิ้งบาปและสิ่งที่คล้ายกับมัน”
หะดีษนี้ถูกใช้เป็นหลักฐานโดยผู้ที่เห็นว่าควรปิดกั้นหนทางที่จะนำไปสู่สิ่งต้องห้ามทั้งหลาย และควรห้ามวิธีการ (หรือสื่อ) ที่จะนำไปสู่มันด้วย
และหลักการของกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะฮฺ) ยังชี้ให้เห็นด้วยเช่นกันว่า ห้ามบริโภคแม้จะปริมาณน้อยของสิ่งที่ปริมาณมากของมันทำให้มึนเมา และห้ามการอยู่ตามลำพังกับหญิงที่ไม่ใช่มะหฺร็อม (หญิงที่ห้ามแต่งงานด้วย)
หัวใจและสัญญาณแห่งความดีงามของมัน
และคำกล่าวที่ว่า “และพึงทราบเถิดว่า ในร่างกายนั้นมีก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทั้งหมดก็จะดีไปด้วย แต่เมื่อมันเสียหาย ร่างกายทั้งหมดก็จะเสียหายไปด้วย พึงทราบเถิดว่ามันคือหัวใจ” ในวรรคนี้มีการบ่งชี้ว่า ความดีงามในการเคลื่อนไหวของบ่าวด้วยอวัยวะต่าง ๆ การหลีกห่างจากสิ่งต้องห้าม และการเผชิญหน้ากับสิ่งคลุมเครือนั้นขึ้นอยู่กับความดีงามของการเคลื่อนไหวในหัวใจ
หากหัวใจของเขาบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดในนั้นนอกจากความรักต่ออัลลอฮฺ ความรักต่อสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรัก ความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และความกลัวที่จะตกลงไปในสิ่งที่พระองค์ทรงรังเกียจ การเคลื่อนไหวของอวัยวะทั้งหมดก็จะดีตาม และจะก่อให้เกิดการหลีกห่างจากสิ่งต้องห้ามทั้งหมด และการระมัดระวังสิ่งคลุมเครือด้วยความระแวดระวังที่จะตกลงไปในสิ่งต้องห้าม
และหากหัวใจเสียหาย ถูกครอบงำด้วยการทำตามอารมณ์และการแสวงหาสิ่งที่มันชอบ แม้อัลลอฮฺจะทรงรังเกียจ การเคลื่อนไหวของอวัยวะทั้งหมดก็จะเสียหายตาม และมันจะมุ่งไปสู่การฝ่าฝืนและสิ่งคลุมเครือทั้งหมดตามอารมณ์ของหัวใจ
และไม่มีความดีงามสำหรับหัวใจจนกว่าจะมั่นคงอยู่ในนั้นซึ่งการรู้จักอัลลอฮฺ ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ความรักต่อพระองค์ ความเกรงกลัวต่อพระองค์ ความเคารพต่อพระองค์ การหวังในพระองค์ และการมอบหมายต่อพระองค์ โดยเปี่ยมล้นด้วยกับสิ่งเหล่านี้ และนี่คือแก่นแท้ของเตาฮีด (การยืนยันในเอกานุภาพของพระเจ้า) และมันคือความหมายของ “ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” (ไม่มีพระเจ้าที่แท้จริงอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)
อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
﴾ قُلْ إِن كُنتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللهُ ﴿
จงกล่าวเถิด (มุฮัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮฺก็จะทรงรักพวกท่าน” (อาลุอิมรอน 3 : 31)
อัลลอฮฺทรงทำให้สัญญาณความสัตย์จริงในความรักต่อพระองค์คือการปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าความรักจะไม่สมบูรณ์โดยปราศจากการเชื่อฟังและการปฏิบัติตาม
และยะหฺยา บิน มุอาซ ได้กล่าวว่า “ไม่ใช่ผู้ที่สัตย์จริง ใครก็ตามที่อ้างว่ารักอัลลอฮฺแต่ไม่รักษาขอบเขตของพระองค์”
———————
[1] อัลอีนะฮฺคือการบุคคลมีความจำเป็นต้องใช้เงินซื้อของในราคาที่สูงกว่าปกติแบบผ่อนชำระ แล้วขายคืนให้กับเจ้าของเดิมในราคาเงินสดที่ต่ำกว่าราคาซื้อ ส่วนอัตตะวัรรุกคือการที่บุคคลต้องการเงินสด จึงซื้อของที่มีมูลค่า 100 ในราคาที่สูงกว่าเพื่อจะได้ใช้เงินจากราคาขายของมัน