หะดีษเลขที่ 8
ฉันถูกสั่งมาเพื่อต่อสู้กับมนุษย์
عَنْ ابْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ تَعَالَى عَنْهُمَا : أَنَّ رَسُوْلَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ { أُمِرْتُ أَنْ أُقَاتِلَ النَّاسَ حَتَّى يَشْهَدُوا : أَنْ لاَ إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ، وَأَنّ مُحَمَّداً رَسُوْلُ اللَّهِ، وَيُقِيْمُوا الصَّلَاةَ، وَيُُؤْتُوا الزَّكَاةَ، فَإِذَا فَعَلُوْا ذَلِكَ، عَصَمُوا مِنِّي دِمَاءَهُمْ وَأَمْوَالَهُمْ إِلَّا بِحَقِّ الإِسْلَامِ، وَحِسَابُهُم عَلَى اللَّه تَعَالَى }
رَوَاهُ البُخَارِيُّ وَمُسْلِمٌ
จากท่านอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮุ ตะอาลา อันฮุมา ว่า : ท่านเราะสูลุลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า “ฉันถูกสั่งมาเพื่อต่อสู้กับมนุษย์ จนกว่าพวกเขาจะปฏิญาณว่า ‘ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าที่เที่ยงแท้อื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) และมุฮัมมะดัร เราะสูลุลลอฮฺ (มุฮัมหมัดคือเราะสูลของอัลลอฮฺ)’ และ (จนกว่า) พวกเขาจะดำรงการละหมาดและจ่ายซะกาต เมื่อพวกเขาทำสิ่งดังกล่าวแล้ว เลือดเนื้อและทรัพย์สินของพวกเขาก็จะได้รับการคุ้มครองจากฉัน นอกจากด้วยสิทธิของอิสลาม (คือเมื่อพวกเขากระทำผิดที่ต้องถูกลงโทษ) ส่วนการสอบสวน (ในใจของ) พวกเขาเป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง”
(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 25 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 22)
คำอธิบาย
อธิบายหะดีษ
คำกล่าวที่ว่า “เลือดเนื้อและทรัพย์สินของพวกเขาก็จะได้รับการคุ้มครองจากฉัน” แสดงให้เห็นว่า ณ เวลาที่กล่าวคำพูดนี้ ท่านได้รับคำสั่งให้ทำการต่อสู้ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากการอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ
เป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะรับการปฏิญาณตน 2ประการจากผู้ที่มาหาท่านโดยต้องการเข้ารับอิสลาม และด้วยการปฏิญาณนี้ทำให้เลือดเนื้อของเขาได้รับการคุ้มครอง และจะถือว่าเขาเป็นมุสลิม ดังที่ท่านได้ตำหนิท่านอุสามะฮฺ บินซัยดฺ ที่ได้สังหารผู้ที่กล่าว “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)” ในขณะที่ท่านอุสามะฮฺชูดาบขึ้นเหนือคน ๆ นั้น และท่านได้ตำหนิท่านอุสามะฮฺอย่างรุนแรง (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 4269 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 96)
และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ไม่เคยกำหนดเงื่อนไขแก่ผู้ที่มาหาท่านด้วยความต้องการที่จะเข้ารับอิสลามว่า จะต้องปฏิบัติละหมาดและจ่ายซะกาต แต่ท่านยอมรับอิสลามจากกลุ่มชนที่ตั้งเงื่อนไขว่าพวกเขาจะไม่จ่ายซะกาต ดังที่ท่านญาบิรได้เล่าว่า : เผ่าษะกีฟได้ตั้งเงื่อนไขต่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า พวกเขาจะไม่จ่ายซะกาตและไม่ทำการญิฮาด และท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า “พวกเขาจะจ่ายซะกาตและทำญิฮาดในที่สุด” (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษเลขที่ 14674 และอบูดาวูด หะดีษเลขที่ 3025 ด้วยสำนวนที่คล้ายคลึงกัน)
อิมามอะหฺมัดยึดถือหะดีษเหล่านี้และได้กล่าวว่า “การเข้ารับอิสลามถือว่าถูกต้องแล้ว แม้จะมีเงื่อนไขที่เสียหาย (ไม่ถูกต้อง) หลังจากนั้นเขาจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลามทั้งหมด”
ประมวลหะดีษในเรื่องนี้และคำอธิบายเกี่ยวกับสิทธิของคำกล่าวปฏิญาณทั้งสอง
และด้วยสิ่งที่เราได้กล่าวมานี้ ทำให้เห็นการประมวลสำนวนต่าง ๆ ของหะดีษในเรื่องนี้ และชี้ให้เห็นว่าทั้งหมดล้วนเป็นความจริงว่า การกล่าวปฏิญาณทั้งสองเพียงอย่างเดียวนั้นสามารถปกป้องผู้ที่กล่าวมันได้ และด้วยคำกล่าวนี้ทำให้เขากลายเป็นมุสลิม และเมื่อเขาเข้ารับอิสลามแล้ว หากเขาดำรงการละหมาด จ่ายซะกาต และปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลาม เขาก็จะได้รับสิทธิเช่นเดียวกับชาวมุสลิมทั้งหลายและมีหน้าที่เช่นเดียวกับพวกเขา แต่หากพวกเขาละเลยหลักการใดหลักการหนึ่งจากหลักการทั้งหลายนี้ และหากพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีกำลัง ก็จะถูกต่อสู้ (ปราบปราม)
มีรายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺว่า : แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้เรียกท่านอลีในวันค็อยบัร แล้วมอบธงแก่ท่านและกล่าวว่า “จงเดินหน้าไปและอย่าหันกลับมา จนกว่าอัลลอฮฺจะประทานชัยชนะแก่ท่าน” แล้วท่านอลีก็เดินหน้าไปได้ระยะหนึ่ง จากนั้นท่านก็หยุดและกล่าวเสียงดังว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺครับ ผมจะต่อสู้กับผู้คนเพื่อสิ่งใดหรือครับ?”ท่านตอบว่า “จงต่อสู้กับพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะกล่าวคำปฏิญาณว่า ‘ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมหมัดเป็นเราะสูลของอัลลอฮฺ’ เมื่อพวกเขาได้กระทำเช่นนั้นแล้ว เลือดเนื้อและทรัพย์สินของพวกเขาก็ได้รับการคุ้มครองจากท่าน เว้นแต่ด้วยสิทธิของมัน และการสอบสวน (ในใจของ) พวกเขานั้นเป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺ” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2405)
ท่านนบีได้ทำให้การตอบรับคำกล่าวปฏิญาณทั้งสองเป็นสิ่งที่สามารถคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินได้แล้ว เว้นแต่ด้วยสิทธิของมัน และหนึ่งในสิทธิของมัน (สิทธิในการต่อสู้และปราบปรามได้หากละเมิด) คือการปฏิเสธการละหมาดและการจ่ายซะกาตหลังจากเข้ารับอิสลามแล้ว ดังที่บรรดาเศาะหาบะฮฺเข้าใจกัน
การต่อสู้กับกลุ่มที่ปฏิเสธ
หลักฐานจากอัลกุรอานที่ชี้ให้เห็นถึงการต่อสู้กับกลุ่มที่ปฏิเสธการดำรงละหมาดและจ่ายซะกาต คืออายะฮฺที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
﴾ فَإِن تَابُوا وَأَقَامُوا الصَّلَاةَ وَبَاتَوُا الزَّكَاةَ فَخَلُوا سَبِيلَهُمْ ﴿
แต่หากพวกเขากลับเนื้อกลับตัว และดำรงการละหมาด และจ่ายซะกาต ก็จงปล่อยพวกเขาไปตามทางของพวกเขา (อัตเตาบะฮฺ 9 : 5)
และมีการยืนยันว่า เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ออกรบกับกลุ่มชนใด ท่านจะไม่โจมตีพวกเขาจนกว่าจะถึงยามเช้า หากท่านได้ยินเสียงอะซานก็จะไม่โจมตี แต่หากท่านไม่ได้ยิน ท่านก็จะโจมตี (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 610) ทั้งที่มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจเข้ารับอิสลามแล้ว
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า ท่านพิจารณาสถานะของผู้ที่เข้ารับอิสลาม หากพวกเขาดำรงการละหมาดและจ่ายซะกาต (ก็จะไม่ถูกต่อสู้) แต่หากไม่ (ปฏิบัติ) ท่านจะไม่ละเว้นจากการต่อสู้กับพวกเขา
ในประเด็นนี้ได้เกิดการโต้แย้งระหว่างท่านอบูบักรฺและท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา โดยท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺได้เล่าว่า : เมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เสียชีวิต และท่านอบูบักรฺ อัศศิดดีก ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเคาะลีฟะฮฺต่อจากท่าน และมีชาวอาหรับบางส่วนที่ปฏิเสธศรัทธา ท่านอุมัรจึงกล่าวกับท่านอบูบักรฺว่า “ท่านจะต่อสู้กับผู้คนได้อย่างไร ทั้งที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า ‘ฉันได้รับคำสั่งให้ต่อสู้กับผู้คนจนกว่าพวกเขาจะกล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) และผู้ใดที่กล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ ทรัพย์สินและชีวิตของเขาก็ได้รับการคุ้มครองจากฉัน เว้นแต่ด้วยสิทธิของมัน และการสอบสวน (ในใจของ) เขานั้นเป็นหน้าที่ของอัลลอฮ’?”
ท่านอบูบักรฺตอบว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะต่อสู้กับผู้ที่แยกระหว่างการละหมาดและซะกาต แท้จริงซะกาตนั้นเป็นสิทธิของทรัพย์สิน ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ หากพวกเขาปฏิเสธที่จะมอบเชือกผูกอูฐสักเส้นหนึ่งที่พวกเขาเคยมอบให้กับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ฉันก็จะต่อสู้กับพวกเขาเพราะการปฏิเสธนั้น” ท่านอุมัรกล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ มันไม่ใช่อะไรอื่นเลยเว้นแต่ฉันได้เห็นแล้วว่า อัลลอฮฺทรงเปิดหัวใจของอบูบักรฺเพื่อการต่อสู้ แล้วฉันก็รู้ว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 1399 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 20)
คำกล่าวของท่านอบูบักรฺที่ว่า “ฉันจะต่อสู้กับผู้ที่แยกระหว่างการละหมาดและซะกาต แท้จริงซะกาตนั้นเป็นสิทธิของทรัพย์สิน” ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ละทิ้งการละหมาดจะต้องถูกต่อสู้ เพราะมันคือสิทธิของร่างกาย เช่นเดียวกับผู้ที่ละทิ้งซะกาตซึ่งเป็นสิทธิของทรัพย์สิน
สิ่งนี้บ่งชี้ว่าการต่อสู้กับผู้ที่ละทิ้งการละหมาดเป็นเรื่องที่มีมติเอกฉันท์ เพราะท่านอบูบักรฺได้ทำให้มันเป็นหลักการที่ใช้เทียบเคียง ทั้งที่มันมิได้ถูกกล่าวไว้ในหะดีษที่ท่านอุมัรใช้เป็นหลักฐาน แต่ได้มาจากคำกล่าวที่ว่า “เว้นแต่ด้วยสิทธิของมัน” เช่นเดียวกับซะกาต เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิของมัน และทั้งหมดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิในอิสลาม
ข้อตัดสินของผู้ที่ละทิ้งหลักการอิสลามอื่น ๆ
ข้อตัดสินสำหรับผู้ที่ละทิ้งหลักการใดหลักการหนึ่งของอิสลาม คือจะต้องถูกต่อสู้เช่นเดียวกับการต่อสู้กับผู้ที่ละทิ้งการละหมาดและซะกาต
สะอีด บินญุบัยรฺ เล่าว่า : ท่านอุมัร บินอัลค็อฏฏ็อบ ได้กล่าวว่า “หากผู้คนละทิ้งการทำหัจญ์ เราก็จะต่อสู้กับพวกเขาเพราะการละทิ้งนั้น เช่นเดียวกับที่เราต่อสู้กับพวกเขาเพราะการละทิ้งละหมาดและซะกาต”
คำกล่าวนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับกลุ่มที่ปฏิเสธการปฏิบัติข้อบังคับเหล่านี้
คำกล่าวที่ว่า “เว้นแต่ด้วยสิทธิของมัน” และในรายงานอื่นระบุว่า “เว้นแต่ด้วยสิทธิของอิสลาม” ได้กล่าวไปแล้วว่าท่านอบูบักรฺได้รวมการปฏิบัติละหมาดและซะกาตไว้ในสิทธินี้ และมีผู้รู้บางท่านได้รวมการถือศีลอดและการทำหัจญ์ไว้ด้วย
และส่วนหนึ่งจากสิทธิของมัน คือการทำสิ่งต้องห้ามที่ทำให้เลือดของมุสลิมเป็นที่อนุมัติ
และมีการอธิบายสิทธิของมันด้วยสิ่งดังกล่าวในหะดีษของท่านอนัส : จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “ฉันถูกสั่งใช้ให้ต่อสู้กับผู้คนจนกว่าพวกเขาจะกล่าว‘ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ’ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) เมื่อพวกเขากล่าวเช่นนั้นแล้ว เลือดเนื้อและทรัพย์สินของพวกเขาก็ได้รับการคุ้มครองจากฉัน เว้นแต่ด้วยสิทธิของมัน และการสอบสวน (ในใจของ) พวกเขาขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺ” มีผู้ถามว่า “อะไรคือสิทธิของมันหรือครับ?” ท่านตอบว่า “การผิดประเวณีหลังจากแต่งงาน การปฏิเสธศรัทธาหลังจากศรัทธา และการฆ่าชีวิตหนึ่งซึ่งจะต้องถูกประหารเพราะการฆ่านั้น” (บันทึกโดยอัฏเฏาะบะรอนีย์ ใน “อัลเอาสัฏ” หะดีษเลขที่ 3221 และมันอยู่ใน “อัศเศาะฮีหะฮฺ” 1/408)
คำกล่าวที่ว่า “ส่วนการสอบสวน (ในใจของ) พวกเขานั้นเป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺ”หมายความว่า การปฏิญาณตนทั้งสองพร้อมกับการดำรงละหมาดและจ่ายซะกาตจะให้การคุ้มครองเลือดเนื้อและทรัพย์สินของคน ๆ นั้นในโลกนี้ เว้นแต่เขาจะกระทำสิ่งที่ทำให้เลือดเนื้อของเขาเป็นที่อนุมัติ ส่วนในโลกหน้านั้น การสอบสวนเขาเป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺ หากเขาเป็นผู้สัตย์จริง อัลลอฮฺก็จะให้เขาเข้าสวรรค์ด้วยการกระทำดังกล่าว แต่หากเขาเป็นผู้โกหก เขาก็จะเป็นส่วนหนึ่งของพวกหน้าไหว้หลังหลอก (มุนาฟิกูน) ที่อยู่ในชั้นต่ำสุดของนรก
และมีการใช้เป็นหลักฐานจากหะดีษบทนี้โดยผู้ที่เห็นว่าการกลับเนื้อกลับตัวของซินดีก (พวกหน้าซื่อใจคด) ซึ่งก็คือคนหน้าไหว้หลักหลอก (มุนาฟิก) นั้นเป็นที่ยอมรับ เมื่อเขาแสดงออกซึ่งการกลับมาสู่อิสลามอย่างชัดเจน และไม่เห็นว่าควรประหารชีวิตเขาเพียงเพราะการปรากฏชัดของการกลับกลอก (นิฟาก) ของเขา เช่นเดียวกับที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ปฏิบัติกับพวกหน้าไหว้หลังหลอก และท่านปฏิบัติกับพวกเขาบนพื้นฐานของบทบัญญัติต่าง ๆ ของชาวมุสลิมที่ปรากฏชัดภายนอก แม้ว่าท่านจะรู้ถึงการกลับกลอกภายในของพวกเขาบางคนก็ตาม