หะดีษเลขที่ 13
ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺร้องไห้ เพราะความเจ็บปวดของท่านนบีก่อนเสียชีวิต
عَنْ عَائِشَةَ قَالَتْ : كُنَّا أَزْوَاجُ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عِنْدَهُ لَمْ يُغَادِرْ مِنْهُنَّ وَاحِدَةً، فَأَقْبَلَتْ فَاطِمَةُ تَمْشِي مَا تُخْطِئُ مِشْيَتُهَا مِنْ مِشْيَةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ شَيْئًا، فَلَمَّا رَآهَا رَحَّبَ بِهَا، فَقَالَ { مَرْحَبًا بِابْنَتِي } ثُمَّ أَجْلَسَهَا عَنْ يَمِينِهِ أَوْ عَنْ شِمَالِهِ، ثُمَّ سَارَّهَا فَبَكَتْ بُكَاءً شَدِيدًا، فَلَمَّا رَأَى جَزَعَهَا سَارَّهَا الثَّانِيَةَ فَضَحِكَتْ، فَقُلْتُ لَهَا : خَصَّكِ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنْ بَيْنِ نِسَائِهِ بِالسِّرَارِ ثُمَّ أَنْتِ تَبْكِينَ، فَلَمَّا قَامَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، سَأَلْتُهَا : مَا قَالَ لَكِ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، قَالَتْ : مَا كُنْتُ أُفْشِي عَلَى رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سِرَّهُ، قَالَتْ : فَلَمَّا تُوُفِّيَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، قُلْتُ : عَزَمْتُ عَلَيْكِ بِمَا لِي عَلَيْكِ مِنْ الْحَقِّ، لَمَا حَدَّثْتِنِي مَا قَالَ لَكِ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالَتْ : أَمَّا الْآنَ فَنَعَمْ، أَمَّا حِينَ سَارَّنِي فِي الْمَرَّةِ الْأُولَى، فَأَخْبَرَنِي أَنَّ جِبْرِيلَ كَانَ يُعَارِضُهُ الْقُرْآنَ فِي كُلِّ سَنَةٍ مَرَّةً أَوْ مَرَّتَيْنِ، وَإِنَّهُ عَارَضَهُ الْآنَ مَرَّتَيْنِ، { وَإِنِّي لَا أُرَى الْأَجَلَ إِلَّا قَدْ اقْتَرَبَ، فَاتَّقِي اللَّهَ وَاصْبِرِي، فَإِنَّهُ نِعْمَ السَّلَفُ أَنَا لَكِ } قَالَتْ : فَبَكَيْتُ بُكَائِي الَّذِي رَأَيْتِ، فَلَمَّا رَأَى جَزَعِي سَارَّنِي الثَّانِيَةَ، فَقَالَ { يَا فَاطِمَةُ أَمَا تَرْضَيْ أَنْ تَكُونِي سَيِّدَةَ نِسَاءِ الْمُؤْمِنِينَ أَوْ سَيِّدَةَ نِسَاءِ هَذِهِ الْأُمَّةِ } قَالَتْ : فَضَحِكْتُ ضَحِكِي الَّذِي رَأَيْتِ
ท่านหญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า : วันหนึ่งขณะที่บรรดาภรรยาของท่านนบีอยู่กับท่าน ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และไม่มีใครเลยในหมู่พวกเธอที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น แล้วฟาฏิมะฮฺก็เดินเข้ามา ท่าทางการเดินของเธอไม่ต่างจากท่าเดินของท่านเราะสูลุลลอฮฺเลย เมื่อท่านเห็นเธอ ท่านก็ต้อนรับเธอและกล่าวว่า "ยินดีต้อนรับ ลูกสาวที่รักของพ่อ" จากนั้นท่านเราะสูลก็ให้เธอนั่งทางด้านขวาหรือทางด้านซ้ายของท่าน แล้วท่านก็กระซิบบอกบางอย่างกับเธอ กระทั่งเธอร้องไห้อย่างหนัก เมื่อท่านเห็นว่าเธอเสียใจ ท่านก็กระซิบบอกบางอย่างกับเธออีกเป็นครั้งที่ 2 เธอก็หัวเราะออกมา ฉันจึงกล่าวกับเธอว่า "ท่านเราะสูลุลลลอฮฺ ขอพรและความศานติจงมีแด่ท่าน ได้กระซิบบอกบางอย่างกับเธอต่อหน้าบรรดาภรรยาของท่านเป็นการเฉพาะ แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมา" เมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺลุกขึ้นจากไป ฉันจึงได้ถามเธอว่า "ท่านเราะสูลุลลอฮฺบอกอะไรกับเธอหรือ?" ฟาฏิมะฮฺตอบว่า "ฉันจะไม่แพร่งพรายความลับของท่านเราะสูลุลลอฮฺเด็ดขาด" ท่านหญิงอาอิชะฮฺได้เล่าต่อว่า : เมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เสียชีวิตลง ฉันก็ได้ถามฟาฏิมะฮฺ (อีกครั้ง) ว่า "ฉันตั้งใจจะถามเธอด้วยสิทธิที่ฉันมีต่อเธอ เกี่ยวกับสิ่งที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺได้บอกไว้กับเธอ ซึ่งก่อนหน้านี้เธอไม่อยากบอกให้ฉันรู้" ฟาฏิมะฮฺตอบว่า "ตอนนี้ฉันพร้อมจะบอกเธอแล้ว ตอนที่ท่านเราะสูลกระซิบบอกฉันในครั้งแรกนั้น ท่านบอกว่าญิบรีลกับท่านมักจะทบทวนอัลกุรอานด้วยกันเป็นประจำปีละ 1 หรือ 2 ครั้ง และปีนี้ท่านทบทวนอัลกุรอานกับญิบรีลถึง 2 ครั้ง และ (ท่านกล่าวว่า) ‘พ่อรู้ว่าความตายใกล้เข้ามาแล้ว ฉะนั้น ลูกจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺและอดทนเถิด แท้จริงสะลัฟที่ดีที่สุดของลูกก็คือพ่อเอง’" ฟาฏิมะฮฺกล่าวว่า "ฉันจึงร้องไห้อย่างที่เธอได้เห็น เมื่อพ่อเห็นว่าฉันเสียใจ ท่านก็กระซิบบอกฉันในครั้งที่ 2 ว่า 'ฟาฏิมะฮฺ ลูกไม่พอใจหรือที่ลูกจะได้เป็นผู้นำของบรรดาภรรยาของผู้ศรัทธา หรือผู้นำของผู้หญิงของประชาชาตินี้' ฉันจึงหัวเราะอย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ"(บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2450)
สถานะหะดีษ : เศาะฮีหฺ