:: อัศเศาะหีฟะฮฺ อัศศอดิเกาะฮฺ : บนทึกหะดีษที่เก่าแก่ที่สุด ::
Maulana Muhammad Asri bin Yusoff เขียน I Zunnur แปล
บันทึกหะดีษที่เก่าแก่ที่สุดถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ตอนที่ท่านนบียังมีชีวิตอยู่ นั่นคือ “อัศเศาะหีฟะฮฺ อัศศอดิกะฮฺ” เขียนโดย อับดุลลอฮฺ บินอัมรู บินอัลอาศ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา
การเขียนนี้ได้รับอนุญาตจากท่านนบีเอง อิมามอบูดาวูดได้รายงานไว้ ด้วยสายรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินอัมรู บินอัลอาศ ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า
كُنْتُ أَكْتُبُ كُلَّ شَىْءٍ أَسْمَعُهُ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أُرِيدُ حِفْظَهُ, فَنَهَتْنِي قُرَيْشٌ وَقَالُوا : أَتَكْتُبُ كُلَّ شَىْءٍ تَسْمَعُهُ وَرَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بَشَرٌ يَتَكَلَّمُ فِي الْغَضَبِ وَالرِّضَا, فَأَمْسَكْتُ عَنِ الْكِتَابِ فَذَكَرْتُ ذَلِكَ لِرَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم فَأَوْمَأَ بِأُصْبُعِهِ إِلَى فِيهِ, فَقَالَ ”اكْتُبْ فَوَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ مَا يَخْرُجُ مِنْهُ إِلاَّ حَقٌّ”
ฉันเคยเขียนทุกอย่างที่ฟังมาจากท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เพราะฉันต้องการท่องจำมัน แล้ว (มุสลิมจาก) ชาวกุร็อยชฺก็ห้ามฉัน พวกเขากล่าวว่า “ท่านจะเขียนทุกอย่างที่ฟังมาจากท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม อย่างนั้นหรือ? ทั้งที่ท่านเราะสูลก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่พูดทั้งในตอนโมโหและพอใจ”
ฉันจึงหยุดบันทึก แล้วฉันก็ได้ปรึกษาเรื่องดังกล่าวกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และชี้นิ้วไปที่ปากของท่าน พร้อมกับกล่าวว่า “จงเขียนเถิด ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดออกมาจากมัน (ปากของฉัน) นอกจากความจริงเท่านั้น” (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษเลขที่ 3646, หะดีษเศาะฮีหฺ)
เพราะเขียนได้มาก หะดีษที่อับดุลลอฮฺรายงานจึงมีจำนวนมากกว่าที่ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺรายการ ซึ่งท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเองก็ยอมรับ โดยกล่าวว่า
مَا مِنْ أَصْحَابِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم أَحَدٌ أَكْثَرَ حَدِيثًا عَنْهُ مِنِّي إِلاَّ مَا كَانَ مِنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو فَإِنَّهُ كَانَ يَكْتُبُ وَلاَ أَكْتُبُ
ไม่มีเศาะหาบะฮฺคนใดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่มีหะดีษของท่านมากไปกว่าฉัน นอกจากที่มีอยู่กับอับดุลลอฮฺ บินอัมรู เท่านั้น เพราะเขาจดบันทึก (หะดีษ) แต่ฉันไม่ (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 113)
ถึงอย่างนั้น มีหะดีษเพียง 700 บทเท่านั้นจาก “อัศเศาะหีฟะฮฺ อัศศอดิเกาะฮฺ” ที่บรรดาผู้รู้ได้รายงานไว้ในตำราหะดีษของพวกเขา ซึ่งส่วนใหญ่พบได้ในสุนันอบูดาวูด, อัลญามิอฺของอัตติรมิซีย์ และอื่น ๆ
ในจำนวนนั้น มีหะดีษเพียง 17 บทเท่านั้นที่รายงานโดยทั้งอิมามอัลบุคอรีย์และอิมามมุสลิม และมี 8 หะดีษที่รายงานโดยอิมามอัลบุคอรีย์เท่านั้น และ 20 หะดีษที่รายงานโดยอิมามมุสลิมเท่านั้น ทั้งนี้เพราะว่าหะดีษต่าง ๆ ที่ถูกรายงานจากบันทึกดังกล่าวนั้น (หมายถึง อัศเศาะหีฟะฮฺ อัศศอดิกะฮฺ) ไม่ครบเงื่อนไขของหะดีษเศาะฮีหฺสำหรับอิมามอัลบุคอรีย์และมุสลิม อีกทั้งยั้งมีผู้รู้ที่ตัดสินว่าเป็นหะดีษเฎาะอีฟด้วย และหากความหมายของหะดีษสอดคล้องกับหะดีษอื่น ๆ ที่แข็งแรงกว่า มันก็ถูกพิจารณาให้เป็นหะดีษหะสันเท่านั้นเอง
แต่ต้องเข้าใจว่า ความเฎาะอีฟดังกล่าวเป็นเพราะผู้รายงานหะดีษจากบันทึกดังกล่าวนั้นมีสถานะเฎาะอีฟ และพวกเขาก็มีจำนวนน้อย
และหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หะดีษจาก “อัศเศาะหีฟะฮฺ อัศศอดิเกาะฮฺ” ไม่ได้ถูกรายงานโดยนักรายงานจำนวนมาก ก็เพราะว่าท่านอับดุลลอฮฺ บินอัมรู บินอัลอาศ นั้นเป็นคนที่ขยันทำอิบาดะฮฺมาก โดยที่อับดุลลอฮฺ บินอัมรู ได้เล่าไว้ว่า
أَنْكَحَنِي أَبِي امْرَأَةً ذَاتَ حَسَبٍ فَكَانَ يَتَعَاهَدُ كَنَّتَهُ فَيَسْأَلُهَا عَنْ بَعْلِهَا, فَتَقُولُ : نِعْمَ الرَّجُلُ مِنْ رَجُلٍ لَمْ يَطَأْ لَنَا فِرَاشًا وَلَمْ يُفَتِّشْ لَنَا كَنَفًا مُذْ أَتَيْنَاهُ, فَلَمَّا طَالَ ذَلِكَ عَلَيْهِ ذَكَرَ لِلنَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم, فَقَالَ ”الْقَنِي بِهِ” فَلَقِيتُهُ بَعْدُ, فَقَالَ ”كَيْفَ تَصُومُ” قَالَ : كُلَّ يَوْمٍ, قَالَ ”وَكَيْفَ تَخْتِمُ” قَالَ : كُلَّ لَيْلَةً, قَالَ ”صُمْ فِي كُلِّ شَهْرٍ ثَلاَثَةً وَاقْرَإِ الْقُرْآنَ فِي كُلِّ شَهْرٍ” قَالَ : قُلْتُ : أُطِيقُ أَكْثَرَ مِنْ ذَلِكَ, قَالَ ”صُمْ ثَلاَثَةَ أَيَّامٍ فِي الْجُمُعَةِ” قُلْتُ : أُطِيقُ أَكْثَرَ مِنْ ذَلِكَ, قَالَ ”أَفْطِرْ يَوْمَيْنِ وَصُمْ يَوْمًا” قَالَ : قُلْتُ : أُطِيقُ أَكْثَرَ مِنْ ذَلِكَ, قَالَ ”صُمْ أَفْضَلَ الصَّوْمِ صَوْمِ دَاوُدَ صِيَامَ يَوْمٍ وَإِفْطَارَ يَوْمٍ وَاقْرَأْ فِي كُلِّ سَبْعِ لَيَالٍ مَرَّةً” فَلَيْتَنِي قَبِلْتُ رُخْصَةَ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم, وَذَاكَ أَنِّي كَبِرْتُ وَضَعُفْتُ, فَكَانَ يَقْرَأُ عَلَى بَعْضِ أَهْلِهِ السُّبْعَ مِنَ الْقُرْآنِ بِالنَّهَارِ, وَالَّذِي يَقْرَؤُهُ يَعْرِضُهُ مِنَ النَّهَارِ لِيَكُونَ أَخَفَّ عَلَيْهِ بِاللَّيْلِ, وَإِذَا أَرَادَ أَنْ يَتَقَوَّى أَفْطَرَ أَيَّامًا, وَأَحْصَى وَصَامَ مِثْلَهُنَّ كَرَاهِيةَ أَنْ يَتْرُكَ شَيْئًا فَارَقَ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم عَلَيْهِ
พ่อของฉันได้แต่งงานฉันกับหญิงคนหนึ่งจากครอบครัวที่มีเกียรติ และท่านชอบถามเธอเกี่ยวกับสามีของเธอ (คือ ตัวฉันเอง) เธอก็ตอบว่า “เขาคือชายที่ดีที่สุด เขายังไม่ได้แตะต้องตัวเราบนเตียงนอนเลย และยังไม่ได้เข้าใกล้ตัวเรานับตั้งแต่แต่งงานมาด้วย” เมื่อเรื่องดังกล่าวดำเนินต่อไป คุณพ่อก็ได้บอกให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ทราบ และท่านกล่าวว่า “พาเขามาหาฉัน”
หลังจากนั้นฉันก็ได้พบกับท่านนบี ท่านถามว่า “เจ้าถือศีลอดอย่างไร?” ฉันตอบว่า “ทุกวันครับ” ท่านถามต่อว่า “เจ้าจบอัลกุรอานอย่างไร?” ฉันตอบว่า “ทุกคืนครับ” ท่านจึงกล่าวว่า “จงถือศีลอด 3 วันและอ่านอัลกุรอานให้จบ (1 ครั้ง) ในทุก ๆ เดือน”
ท่านอับดุลลอฮฺเล่าว่า : ฉันกล่าวว่า “ผมทำได้มากกว่านั้นครับ” ท่านจึงกล่าวว่า “จงถือศีลอด 3 วันต่อสัปดาห์” ฉันก็กล่าวว่า “ผมทำได้มากกว่านั้นอีกครับ” ท่านก็กล่าวว่า “จงงดเว้นการศีลอด 2 วัน และถือศีลอด 1 วัน (สลับกันไป)” ฉันก็กล่าวว่า “ผมทำได้มากกว่านั้นอีกนะครับ” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “จงถือศีลอดด้วยการถือศีลอดที่ดีที่สุด คือการถือศีลอดของนบีดาวูด ด้วยการถือศีลอด 1 วัน และงดเว้น 1 วัน และจงอ่านอัลกุรอาน (ให้จบ) 1 ครั้งในแต่ละสัปดาห์”
คงจะดีกว่าหากฉันรับข้อผ่อนปรนที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เสนอให้ เพราะตอนนี้ฉันแก่แล้ว และฉันก็อ่อนแอ
(มุญาฮิด ผู้รายงานคนหนึ่งกล่าวว่า : ) ท่านอับดุลลอฮฺ บินอัมรู มักจะอ่าน 1 ใน 7 ของอัลกุรอานให้สมาชิกในครอบครัวของท่านฟังในตอนเช้า โดยที่พวกเขาจะคอยตรวจสอบการอ่านของเขาด้วยการดูมุศหัฟ เพื่อจะได้ง่ายขึ้นสำหรับท่านในการอ่านทบทวนในตอนกลางคืน
และเมื่อท่านต้องการรวบรวมพลัง ท่านก็จะงดถือศีลอดบางวันและนับจำนวนวันเอาไว้ แล้วท่านก็ชดใช้ในวันอื่นแทน เพราะท่านไม่อยากจะทิ้งในสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ฝากฝังไว้ (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 5052)
เพราะท่านอับดุลลอฮฺอิบาดะฮฺหนักมาก ท่านจึงมีเวลาในการสอนศาสนาและเผยแผ่หะดีษแก่
ผู้คนน้อย ในขณะเดียวกัน ท่านอับดุลลอฮฺนั้นอาศัยอยู่ที่อียิปต์ ซึ่งไม่ใช่ศูนย์กลางขององค์ความรู้ในตอนนั้นด้วย ซึ่งไม่ค่อยมีคนที่มีโอกาสรายงานหะดีษจากท่านมากนัก
ซึ่งแตกต่างกับท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ ที่อาศัยและสอนศาสนาอยู่ที่มะดีนะฮฺ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิชาความรู้ในสมัยนั้น กระทั่งหะดีษที่ท่านรายงานแพร่หลายมากกว่ารายงานของท่านอับดุลลอฮฺ บินอัมรู
นอกจากนั้น ท่านอับดุลลอฮฺ บินอัมรู ยังชอบศึกษาเนื้อหคัมภีร์เตารอตและอินญีล เพราะท่านเข้าใจภาษาซีรีแอก (สุรยานีย์) บางคนจึงมีความกังวลที่จะรับหะดีษจากท่าน เพราะเกรงว่าจะปะปนกับเรื่องเล่าต่าง ๆ ของชาวคัมภีร์ (เรียกว่า อิสรออีลิยยาต)
วันนี้ “อัศเศาะหีฟะฮฺ อัศศอดิกะฮฺ” ไม่มีอยู่อีกแล้ว แต่เนื้อหาของมันยังได้รับการปกปักษ์รักษาไว้ในตำราหะดีษอื่น ๆ ซึ่งสามารถพบเจอได้ด้วยการพิจารณาสายรายงาน คือ “รายงานจากอัมรฺ บินชุอัยบฺ จากพ่อของเขา จากปู่ของเขา” (ซึ่งก็คือ ท่านอับดุลลอฮฺ บินอัมรู) เพราะหลังจากท่านอับดุลลอฮฺเสียชีวิต บันทึกดังกล่าวกลายเป็นมรดกที่ตกทอดไปที่ลูกและหลานของท่านตามลำดับ ก่อนที่มันจะหายไป
วัลลอฮุอะอฺลัม