حَدَّثَنَا مُسَدَّدٌ قَالَ : حَدَّثَنَا حَمَّادٌ عَنْ عَبْدِ الْعَزِيزِ بْنِ صُهَيْبٍ وَثَابِتٍ الْبُنَانِيِّ عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ : أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى الصُّبْحَ بِغَلَسٍ ثُمَّ رَكِبَ، فَقَالَ { اللَّهُ أَكْبَرُ خَرِبَتْ خَيْبَرُ، إِنَّا إِذَا نَزَلْنَا بِسَاحَةِ قَوْمٍ فَسَاءَ صَبَاحُ الْمُنْذَرِينَ } فَخَرَجُوا يَسْعَوْنَ فِي السِّكَكِ، وَيَقُولُونَ : مُحَمَّدٌ وَالْخَمِيسُ، قَالَ : وَالْخَمِيسُ الْجَيْشُ، فَظَهَرَ عَلَيْهِمْ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَتَلَ الْمُقَاتِلَةَ وَسَبَى الذَّرَارِيَّ، فَصَارَتْ صَفِيَّةُ لِدِحْيَةَ الْكَلْبِيِّ، وَصَارَتْ لِرَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثُمَّ تَزَوَّجَهَا وَجَعَلَ صَدَاقَهَا عِتْقَهَا
فَقَالَ عَبْدُ الْعَزِيزِ لِثَابِتٍ : يَا أَبَا مُحَمَّدٍ، أَنْتَ سَأَلْتَ أَنَسًا مَا أَمْهَرَهَا، قَالَ : أَمْهَرَهَا نَفْسَهَا، فَتَبَسَّمَ
มุสัดดัดได้รายงานแก่พวกเราโดยกล่าวว่า ฮัมมาดได้รายงานแก่พวกเรา จากอับดุลอะซีซ บินศุฮัยบฺ และษาบิต อัลบุนานีย์ จากท่านอนัส บินมาลิก ว่า : ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เคยละหมาดศุบหฺในตอนเช้ามืด จากนั้นท่านก็ขี่สัตว์พาหนะ แล้วกล่าวว่า “อัลลอฮุอักบัร (อัลลอฮฺยิ่งใหญ่ที่สุด) ค็อยบัรจงพินาศ แท้จริงแล้วเมื่อเราได้มาถึงที่พำนักของกลุ่มชนหนึ่ง ‘ยามเช้าของบรรดาผู้ถูกตักเตือนนั้นย่อมเลวร้ายแน่นอน'” (อัศศ็อฟฟาต 37 : 177) แล้วชาวค็อยบัรก็ออกไปในถนน (เพื่อไปทำงาน) และกล่าวว่าก็กล่าวว่า “มุฮัมหมัดและอัลคะมีสมาแล้ว” ษาบิตกล่าวว่า : อัลเคาะมีสหมายถึงกองทัพ แล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็มีชัยเหนือพวกเขา ท่านสังหารทหารที่ต่อสู้และจับเชลยศึก และท่านหญิงเศาะฟิยยะฮฺนั้นตกเป็นของท่านดิหฺยะฮฺ อัลกัลบีย์ แล้วก็ตกเป็นของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ต่อมาท่านก็ได้แต่งงานกับเธอ โดยมีค่ามะฮัรเป็นการปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
อับดุลอะซีซได้กล่าวกับษาบิตว่า “โอ้อบูมุฮัมหมัด ท่านได้ถามท่านอนัสไหมว่า ค่ามะฮัรของท่านหญิงเศาะฟิยยะฮฺคืออะไร?” ท่านอนัสตอบว่า “มะฮัรของท่านหญิงคือการปลดปล่อยตัวท่าน” แล้วท่านอนัสก็ยิ้ม