หะดีษเลขที่ 1
การงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา
عَنْ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ : سَمِعتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ { إنَّمَا الأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ وَإِنَّمَا لِكُلِّ امْرِئٍ مَا نَوَى، فَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ إِلَى اللَّهِ وَرَسُوْلِهِ فَهِجْرَتُهُ إِلَى اللَّهِ وَرَسُوْلِهِ، وَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ لِدُنْيَا يُصِيْبُهَا أَوِ امْرَأَةٍ يَنكِحُهَا، فَهِجْرَتُهُ إِلَى مَا هَاجَرَ إليهِ }
رَوَاهُ البُخَارِيُّ ومُسْلِمٌ
จากท่านอุมัร บินอัลค็อฏฏ็อบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า : ฉันเคยฟังท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงการงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับการเจตนา และแท้จริงแต่ละคนจะได้รับในสิ่งเขาได้เจตนาไว้ ดังนั้น ใครที่การอพยพของเขา (มีเจตนาเพื่อ) ไปสู่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ การอพยพของเขาก็ไปสู่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และใครที่การอพยพของเขา (มีเจตนา) เพื่อ โลกนี้ที่เขาอยากได้ หรือเพื่อผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วย การอพยพของเขาก็เป็นไปตามเจตนาที่เขาได้อพยพไป”
บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ (หะดีษเลขที่ 1, 54, 2529, 3898, 5070, 6689) และมุสลิม (หะดีษเลขที่ 1907)
คำอธิบาย
หะดีษบทนี้เป็นหนึ่งในหะดีษหลักของศาสนา โดยมีรายงานจากอิมามอัชชาฟิอีย์ว่า ท่านได้กล่าวว่า “หะดีษบทนี้คือ 1 ใน 3 ของความรู้ และเกี่ยวข้องกับ 70 บทของบทบัญญัติอิสลาม (ฟิกฮฺ)”
และมีรายงานจากอิมามอะหฺมัดว่า ท่านได้กล่าวว่า “รากฐานของอิสลามวางอยู่บนหะดีษ 3 บท คือ หะดีษจากท่านอุมัรที่ว่า ‘การงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา’ และหะดีษจากท่านหญิงอาอิชะฮฺที่ว่า ‘ผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใหม่ในกิจการของเราซึ่งไม่มีในกิจการนั้น สิ่งนั้นถูกปฏิเสธ’และหะดีษจากท่านอันนุอฺมาน บินบะชีรที่ว่า ‘สิ่งที่อนุมัติ (หะลาล) นั้นชัดเจน และสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) ก็ชัดเจน’”
อธิบายหะดีษ
คำกล่าว “แท้จริงการงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนาทั้งหลาย” (ใช้คำพหูพจน์) และในอีกรายงานหนึ่ง “การงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา” (ใช้คำเอกพจน์) ทั้งสองสำนวนนี้บ่งชี้ถึงการจำกัดความที่ถูกต้อง
นักวิชาการมีความเห็นต่างกันในการตีความคำกล่าวนี้ “แท้จริงการงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับการเจตนาทั้งหลาย”
นักวิชาการรุ่นหลังส่วนใหญ่เห็นว่า ความหมายของมันคือ การงานทั้งหลายจะถูกต้อง หรือถูกพิจารณา หรือถูกตอบรับก็ด้วยเจตนา
ตามความเห็นนี้ “การงาน” ที่กล่าวถึงคือการงานทางศาสนาที่จำเป็นต้องมีเจตนา ส่วนการงานที่ไม่จำเป็นต้องมีเจตนา เช่น กิจวัตรประจำวันอย่างการกิน ดื่ม แต่งกาย หรือการคืนอมานะฮฺและของที่ต้องรับประกัน เช่น ของฝากและของที่ถูกยึด ไม่จำเป็นต้องมีเจตนา สิ่งเหล่านี้จึงถูกยกเว้นจากความหมายทั่วไปของการงานที่กล่าวถึงในที่นี้
นักวิชาการอีกกลุ่มกล่าวว่า การงานในที่นี้ครอบคลุมทั้งหมด ไม่มีการยกเว้น บางท่านกล่าวว่านี่เป็นความเห็นของญุมฮูร (นักวิชาการส่วนใหญ่)
ตามความเห็นนี้ จึงมีผู้กล่าวว่า ความหมาย (ของมันก็) คือ “การงานทั้งหลายเกิดขึ้น หรือสำเร็จด้วยกับเจตนา” ซึ่งเป็นการบอกว่า การงานที่เกิดจากความตั้งใจจะไม่เกิดขึ้นโดยปราศจากความตั้งใจของผู้กระทำ และนั่นคือสาเหตุของการกระทำและการมีอยู่ของมัน
และคำกล่าวต่อมาที่ว่า “และแท้จริงแต่ละคนจะได้รับในสิ่งเขาได้เจตนาไว้” เป็นการบอกถึงบทบัญญัติทางศาสนา คือผลของการงานของผู้กระทำคือ (เกิดจาก) เจตนาของเขา หากเจตนาดี การงานก็จะดี และเขาจะได้รับผลบุญ แต่หากเจตนาเสียหาย การงานก็จะเสียหาย แล้วเขาก็จะได้รับบาป
อีกความหมายหนึ่งที่เป็นไปได้คือ คำกล่าวที่ว่า “การงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา”หมายถึง การงานทั้งหลายจะดีหรือเสีย หรือถูกตอบรับหรือถูกปฏิเสธ หรือได้รับผลบุญหรือไม่ได้รับผลบุญ ขึ้นอยู่กับเจตนา ซึ่งเป็นการบอกถึงบทบัญญัติทางศาสนาว่า ความดีและความเสียของการงานนั้นขึ้นอยู่กับความดีและความเสียของเจตนา
และคำกล่าวต่อมา “และแท้จริงแต่ละคนจะได้รับในสิ่งเขาได้เจตนาไว้” เป็นการบอกว่า เขาจะไม่ได้รับจากการงานของเขา เว้นแต่ตามที่เขาได้ตั้งเจตนาไว้ หากเขาตั้งเจตนาดี ก็จะได้รับความดี หากตั้งเจตนาชั่ว ก็จะได้รับความชั่ว
ดังนั้น การงานในตัวของมันเอง ความดี ความเสียหาย และการอนุมัติ (หรือไม่) ของมัน ขึ้นอยู่กับเจตนาที่ผลักดันให้เกิดการกระทำนั้น และผลบุญของผู้กระทำ การลงโทษและความปลอดภัยของเขานั้นขึ้นอยู่กับเจตนาของเขาที่ทำให้การงานนั้นดี หรือเสียหาย หรือเป็นที่อนุมัติ
ความหมายทางภาษาและวิชาการของ “เจตนา”
เจตนาในทางภาษา คือรูปแบบหนึ่งของความตั้งใจและความปรารถนา
เจตนาในคำพูดของบรรดาผู้รู้มี 2 ความหมาย
- ความหมายในแง่ของการแยกแยะอิบาดะฮฺประเภทต่าง ๆ เช่น การแยกแยะระหว่างละหมาดซุฮรฺกับละหมาดอัศรฺ การแยกแยะระหว่างการถือศีลอดเดือนเราะมะฎอนกับการถือศีลอดอื่น ๆ หรือการแยกแยะระหว่างอิบาดะฮฺกับกิจวัตรทั่วไป เช่น การแยกแยะระหว่างการอาบน้ำละหมาดกับการอาบน้ำเพื่อความเย็นและความสะอาด เป็นต้น เจตนาในความหมายนี้พบได้มากในหนังสือของบรรดานักนิติศาสตร์
- ความหมายในแง่ของการแยกแยะเป้าหมายของการงาน ว่าเป็นไปเพื่ออัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่มีภาคีใด ๆ หรือเพื่อสิ่งอื่น หรือเพื่อทั้งอัลลอฮฺและสิ่งอื่น เจตนาในความหมายนี้เป็นสิ่งที่บรรดาผู้รู้กล่าวถึงในหนังสือของพวกเขาในเรื่องอิคลาศ (ความบริสุทธิ์ใจ) และสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน และเป็นสิ่งที่พบได้มากในคำพูดของชาวสะลัฟ (บรรพชน) ยุคแรก
และเจตนาในคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และชาวสะลัฟของประชาชาตินี้ส่วนใหญ่หมายถึงความหมายที่ 2 นี้ ซึ่งมีความหมายเดียวกับความปรารถนา ดังนั้น ในอัลกุรอานจึงมักใช้คำว่า “อิรอดะฮฺ” (ความปรารถนา, ความต้องการ) ดังที่อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า
﴾ منكُم مَّن يُرِيدُ الدُّنْيَا وَمِنكُم مَّن يُرِيدُ الْآخِرَةَ ﴿
ในหมู่พวกท่านมีผู้ที่ปรารถนาโลกนี้ และในหมู่พวกท่านมีผู้ที่ปรารถนาโลกหน้า (อาลุอิมรอน 3 : 152)
และพระองค์ตรัสว่า
﴾ مَن كَانَ يُرِيدُ حَرْثَ الْآخِرَةِ نَزِدْ لَهُ فِي حَرْثِهِ وَمَن كَانَ يُرِيدُ حَرْثَ الدُّنْيَا نُؤْتِهِ مِنْهَا وَمَا لَهُ فِي الْآخِرَةِ مِن نَّصِيبٍ ﴿
ผู้ใดปรารถนาผลตอบแทนของโลกหน้า เราจะเพิ่มพูนผลตอบแทนของเขาแก่เขา และผู้ใดปรารถนาผลตอบแทนของโลกนี้ เราจะให้แก่เขาส่วนหนึ่งของมัน และเขาจะไม่ได้รับส่วนใด ๆ อีกในโลกหน้า (อัชชูรอ 42 : 20)
ส่วนการใช้คำว่า “เจตนา” ในความหมายนี้ในสุนนะฮฺและคำพูดของชาวสะลัฟนั้นมีมากมาย ส่วนหนึ่งคือหะดีษของท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงมนุษย์จะถูกฟื้นคืนชีพตามเจตนาของพวกเขา” (บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ หะดีษเลขที่ 4229 และอะหฺมัด หะดีษเลขที่ 9090)
และรายงานจากท่านสะอัด บินอบีวักก็อศ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงท่านจะไม่บริจาคสิ่งใดโดยหวังความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ เว้นแต่ท่านจะได้รับการตอบแทน แม้แต่อาหารคำหนึ่งที่ท่านป้อนให้กับภรรยาของท่านเอง” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 56 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 168)
คำกล่าวชาวสะลัฟเกี่ยวกับเจตนา
จากยะหฺยา บินอบีกะษีร กล่าวว่า “จงเรียนรู้เรื่องเจตนา เพราะมันสำคัญกว่าการงาน”
จากซุบัยดฺ อัลยามีย์ กล่าวว่า “ฉันชอบที่จะมีเจตนาในทุกสิ่ง แม้แต่ในเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม”
จากสุฟยาน อัษเษารีย์ กล่าวว่า “ฉันไม่เคยต่อสู้กับสิ่งใดที่จะหนักหนาไปกว่าเจตนาของฉันเอง เพราะมันมักจะแปรผันไปมาเสมอ”
จากอิบนุลมุบาร็อก กล่าวว่า “บางครั้งการงานที่เล็กน้อยกลับยิ่งใหญ่ขึ้นด้วยเจตนา และบางครั้งการงานที่ยิ่งใหญ่กลับเล็กน้อยลงเพราะเจตนา”
และอัลฟุฎ็อยล์ได้กล่าวเกี่ยวกับดำรัสของอัลลอฮฺ
﴾ لِيَبْلُوَكُمْ أَيُّكُمْ أَحْسَنُ عَمَلًا ﴿
เพื่อทดสอบพวกเจ้าว่าใครในหมู่พวกเจ้าที่มีการงานดียิ่ง (อัลมุลกฺ 67 : 1)
ว่า “นั่นคือ (ใครในหมู่พวกเจ้าที่มีการงาน) ที่บริสุทธิ์ที่สุดและถูกต้องที่สุด” และท่านยังกล่าวอีกว่า “แท้จริงการงานนั้นเมื่อมันบริสุทธิ์แต่ไม่ถูกต้อง มันจะไม่ถูกตอบรับ และเมื่อถูกต้องแต่ไม่บริสุทธิ์ มันก็จะไม่ถูกตอบรับ (เช่นกัน) จนกว่ามันจะบริสุทธิ์และถูกต้อง” ท่านยังกล่าวด้วยว่า “และส่วนที่บริสุทธิ์นั้นเมื่อมันเพื่ออัลลอฮฺ และที่ถูกต้องนั้นคือเมื่อมันตามสุนนะฮฺ (ของท่านนบี)”
การกล่าวเกี่ยวกับการอพยพ (ฮิจเราะฮฺ)
และคำกล่าวที่ว่า “ดังนั้น ใครที่การอพยพของเขา (มีเจตนาเพื่อ) ไปสู่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ การอพยพของเขาก็ไปสู่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และใครที่การอพยพของเขา (มีเจตนา) เพื่อโลกนี้ที่เขาอยากได้ หรือเพื่อผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วย การอพยพของเขาก็เป็นไปตามเจตนาที่เขาได้อพยพไป”
รากฐานของการอพยพคือการละทิ้งแผ่นดินแห่งการตั้งภาคี และย้ายจากที่นั่นไปยังแผ่นดินอิสลาม เช่นที่บรรดามุฮาญิรีน (ผู้อพยพ) ก่อนการพิชิตมักกะฮฺได้อพยพจากมักกะฮฺไปยังเมือง (มะดีนะฮฺ) ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และก่อนหน้านั้นบางคนได้อพยพไปยังแผ่นดินหะบะชะฮฺ (เอธิโอเปีย) ไปหากษัตริย์อันนะญาชีย์
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้แจ้งว่า การอพยพนี้แตกต่างกันไปตามเจตนาและจุดมุ่งหมายของมัน ดังนั้น ผู้ที่อพยพไปยังแผ่นดินอิสลามด้วยความรักที่มีต่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และปรารถนาที่จะเรียนรู้ศาสนาอิสลาม และแสดงออกซึ่งศาสนาของเขาซึ่งไม่สามารถทำได้ในแผ่นดินแห่งการตั้งภาคี คน ๆ นี้ก็คือผู้ที่อพยพไปสู่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์อย่างแท้จริง และเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจที่เพียงพอสำหรับเขาที่จะได้รับสิ่งที่เขาได้ตั้งเจตนาไว้จากการอพยพไปสู่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์
ด้วยเหตุผลนี้ การตอบต่อเงื่อนไขแรกจึงใช้คำเดิมซ้ำ เพราะการได้รับในสิ่งที่เขาได้ตั้งเจตนาไว้ในการอพยพนั้น คือสุดยอดความปรารถนาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
ส่วนผู้ที่อพยพจากแผ่นดินแห่งการตั้งภาคีไปยังแผ่นดินอิสลามเพื่อแสวงหา (ผลประโยชน์ใน) โลกนี้ที่เขาจะได้รับ หรือเพื่อผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วยในแผ่นดินอิสลาม การอพยพของเขาก็จะเป็นไปตามสิ่งที่เขาอพยพไปเพื่อมัน คนแรกคือพ่อค้า และคนที่สองคือผู้ขอแต่งงาน และทั้งสองไม่ใช่ผู้อพยพ (ที่แท้จริง)
ในคำกล่าวที่ว่า “ไปยังสิ่งที่เขาอพยพไปเพื่อมัน” เป็นการแสดงถึงความต่ำต้อยของสิ่งของ (หรือกิจการงาน) ในโลกหน้าที่เขาแสวงหา และเป็นการดูแคลนมัน โดยไม่ได้เอ่ยถึงมันโดยตรง
และเช่นเดียวกันนั้น การอพยพไปสู่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์นั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีความหลากหลาย ดังนั้น ในการตอบจึงใช้คำเดิมตามเงื่อนไข
ส่วนการอพยพเพื่อกิจการทางโลกนั้นไม่มีขอบเขตจำกัด บางครั้งคนอาจอพยพเพื่อแสวงหา (ผลประโยชน์ใน) โลกนี้ที่เป็นสิ่งอนุมัติ บางครั้งก็เพื่อสิ่งต้องห้าม และสิ่งที่มุ่งหมายในการอพยพเพื่อกิจการทางโลกนั้นไม่มีขอบเขตจำกัด ดังนั้น จึงกล่าวว่า “การอพยพของเขาก็ไปยังสิ่งที่เขาอพยพไปเพื่อมัน” หมายถึง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
การงานอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกับการอพยพในความหมายนี้ ความดีและความเสียหายของมันขึ้นอยู่กับเจตนาที่ผลักดันให้เกิดการกระทำนั้น เช่น การญิฮาด การประกอบพิธีหัจญ์ และอื่น ๆ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เคยถูกถามเกี่ยวกับความแตกต่างของเจตนาของผู้คนและสิ่งที่มุ่งหมายในการญิฮาด เช่น การโอ้อวด การแสดงความกล้าหาญ การยึดมั่นในหมู่คณะ และอื่น ๆ ว่า อย่างไหนที่อยู่ (ในการญิฮาด) ในหนทางของอัลลอฮฺ? ท่านตอบว่า “ผู้ใดต่อสู้เพื่อให้พระดำรัสของอัลลอฮฺสูงสุดที่สุด เขาคือผู้ที่อยู่ในหนทางของอัลลอฮฺ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 123 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 1904) ดังนั้น ด้วยคำตอบนี้ทำให้จุดมุ่งหมายทางโลกทั้งหมดที่พวกเขาถามถึงถูกตัดออกไป
มีการเตือนเกี่ยวกับการศึกษาความรู้เพื่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺ โดยมีรายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดศึกษาความรู้หนึ่งที่ควรแสวงหาเพื่อพระพักต์ของอัลลอฮฺ แต่เขาไม่ได้เรียนรู้มันนอกจากเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางโลก เขาจะไม่ได้สัมผัสกลิ่นสวรรค์ในวันฟื้นคืนชีพ” หมายถึง กลิ่นหอมของมัน (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษเลขที่ 8457, อบูดาวูด หะดีษเลขที่ 3664 และอิบนุมาญะฮฺ หะดีษเลขที่ 252)
พึงรู้เถิดว่า การงานเพื่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺมีหลายประเภท
บางครั้งเป็นการโอ้อวดล้วน ๆ โดยไม่มีจุดประสงค์อื่นนอกจากการอวดต่อมนุษย์เพื่อผลประโยชน์ทางโลก เช่น สภาพของพวกมุนาฟิก (หน้าไหว้หลังหลอก) ในการละหมาดของพวกเขา ดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
﴾ وَإِذَا قَامُوا إِلَى الصَّلَاةِ قَامُوا كُسَالَى يُرَاءُونَ النَّاسَ وَلَا يَذْكُرُونَ اللَّهَ إِلَّا قَلِيلًا ﴿
และเมื่อพวกเขาลุกขึ้นไปละหมาด พวกเขาก็ลุกขึ้นในสภาพเกียจคร้าน โอ้อวดต่อผู้คน และพวกเขาจะไม่รำลึกถึงอัลลอฮฺนอกจากเพียงเล็กน้อย (อันนิสาอ์ 4 : 142)
การงานเช่นนี้ไม่มีมุสลิมคนใดสงสัยว่ามันไร้ผล และผู้กระทำสมควรได้รับความโกรธกริ้วจากอัลลอฮฺและการลงโทษ
บางครั้งการงานก็เป็นไปเพื่ออัลลอฮฺแต่มีการโอ้อวดปะปนอยู่ด้วย หากการโอ้อวดปะปนตั้งแต่ต้น ตัวบทหลักฐานที่ถูกต้องชี้ว่าการงานนั้นเป็นโมฆะและไร้ผลเช่นกัน
มีรายงานจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “อัลลอฮฺ ตะบาเราะกะ วะตะอาลา ตรัสว่า ‘ฉันคือผู้ที่ไม่ต้องการภาคีเลย ผู้ใดกระทำการงานโดยตั้งภาคีข้ากับสิ่งอื่น ข้าจะละทิ้งเขาและสิ่งที่เขาตั้งภาคี’” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2985)
หากเจตนาของการญิฮาดปะปนด้วยสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การโอ้อวด เช่น การรับค่าจ้างในการรับใช้ หรือการรับส่วนแบ่งจากทรัพย์เชลย หรือการค้าขาย ผลบุญของการญิฮาดของพวกเขาจะลดลง แต่ไม่โมฆะไปทั้งหมด
มีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินอัมรู จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงเมื่อนักรบได้รับทรัพย์เชลย พวกเขาจะได้รับผลบุญ 2 ใน 3 ส่วน แต่หากพวกเขาไม่ได้รับสิ่งใดเลย พวกเขาจะได้รับผลบุญเต็มจำนวน” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 1906)
ส่วนถ้ารากฐานของการงานเป็นไปเพื่ออัลลอฮฺ แต่ภายหลังมีเจตนาโอ้อวดแทรกเข้ามา หากเป็นเพียงความคิดที่เกิดขึ้นและถูกขจัดออกไป ก็ไม่เป็นอันตรายต่อการงานนั้นโดยไม่มีความเห็นต่าง (ระหว่างนักวิชาการ) แต่หากปล่อยให้ความคิดนั้นยังอยู่ การงานจะเป็นโมฆะหรือไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อการงานนั้นและจะยังคงได้รับผลตอบแทนตามเจตนาแรกหรือไม่?
ในเรื่องนี้มีความเห็นต่างกันระหว่างบรรดาผู้รู้ในหมู่ชาวสะลัฟ ซึ่งอิมามอะหฺมัดและอิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ได้เล่าไว้ และทั้งสองท่านให้น้ำหนักว่าการงานนั้นไม่เป็นโมฆะ และผู้กระทำจะได้รับผลตอบแทนด้วยกับเจตนาแรก ซึ่งมีรายงานจากอัลหะสัน อัลบัศรีย์ และคนอื่น ๆ
อิบนุญะรีรได้กล่าวว่า : ความเห็นต่างนี้มีเฉพาะในการงานที่ส่วนท้ายเชื่อมโยงกับส่วนต้น (คือ เป็นการงานที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดที่สัมพันธ์กัน และต้องทำให้ครบถ้วนจึงจะสมบูรณ์) เช่น การละหมาด การถือศีลอด และการทำหัจญ์ ส่วนการงานที่ไม่มีการเชื่อมโยงกัน เช่น การอ่านอัลกุรอาน การรำลึก การบริจาคทรัพย์ และการเผยแพร่ความรู้ การงานเหล่านี้จะขาดตอนด้วยเจตนาโอ้อวดที่แทรกเข้ามา และจำเป็นต้องมีการตั้งเจตนาใหม่
และเมื่อผู้ใดทำการงานเพื่ออัลลอฮฺอย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วอัลลอฮฺทรงให้คำสรรเสริญที่ดีปรากฏในหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธา แล้วเขาดีใจในความโปรดปรานและความเมตตาของอัลลอฮฺ และรู้สึกยินดีกับมัน การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นอันตรายต่อ (การงานของ) เขา
ในความหมายนี้มีหะดีษจากท่านอบูซัรรฺ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า : ท่านถูกถามเกี่ยวกับคนที่ทำความดีเพื่ออัลลอฮฺ แล้วผู้คนสรรเสริญเขาในการกระทำนั้น ท่านตอบว่า “นั่นคือข่าวดีที่เร่งด่วนสำหรับผู้ศรัทธา” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2642)
ด้วยเหตุนี้ ช่างงดงามเหลือเกินคำกล่าวของสะฮลฺ บินอับดุลลอฮฺ อัตตุสตะรีย์ ว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ยากลำบากสำหรับจิตใจมากไปกว่าอิคลาศ (บริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ) เพราะมันไม่มีส่วนได้เสียใด ๆ ในนั้น”
เจตนาอยู่ที่หัวใจ
เจตนาคือความตั้งใจของหัวใจ และไม่จำเป็นต้องกล่าวมันออกด้วยวาจาในอิบาดะฮฺต่าง ๆ