:: การเดินทางตามหาอิสลามของท่านสัลมาน อัลฟาริสีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ::
นี่คือเรื่องราวการเดินทางหลายสิบของท่านสัลมาน อัลฟาริสีย์ 1 ในเศาะหาบะฮฺคนสำคัญของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เพื่อตามหาอิสลาม สัจธรรมและศาสนา (ที่หมายถึง แนวทางชีวิต) ที่แท้จริง เป็นการเดินทางที่ยาวนานและยาวไกล กระทั่งในที่สุดท่านก็ไปถึงเป้าหมาย ด้วยความเมตตาและการนำทางจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา
ท่านอับดุลลอฮฺ บินอับบาส ได้รายงานว่า : ท่านสัลมาน อัลฟาริสีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ได้เล่าเรื่องราวของท่านเองให้ฉันฟังดังต่อไปนี้ :
ฉันเป็นชาวเปอร์เซียจากอิสฟาฮาน มาจากหมู่บ้านหนึ่งชื่อ “ญัยยฺ” และพ่อของฉันคือผู้นำของหมู่บ้าน ฉันคือคนที่เขารักมากที่สุด เขารักฉันมากกระทั่งเขาได้ขังฉันไว้ในบ้านเหมือนการขังทาสคนหนึ่ง ฉันเพียรพยายามอยู่ในศาสนาโซโรอัสเตอร์ (คือ มะญูสีย์หรือพวกบูชาไฟ) กระทั่งฉันกลายเป็นผู้ดูแลไฟซึ่งต้องคอยดูแลและไม่ไปไหน แม้เพียงครู่เดียวก็ตาม
ท่านสัลมานเล่าต่อว่า : พ่อของฉันมีสวนขนาดใหญ่ วันหนึ่งพ่อยุ่งกับงานในบ้าน เขากล่าวกับฉันว่า “ลูกพ่อ วันนี้พ่อยุ่งกับงานในบ้านมาก ๆ ลูกไปที่สวนเถิด” แล้วเขาก็สั่งให้ฉันทำบางอย่างที่สวนนั้น ฉันจึงออกไปเพื่อทำงานที่เขามอบหมาย
ฉันเดินผ่านโบสถ์แห่งหนึ่งของชาวคริสเตียน และฉันได้ยินเสียงพวกเขากำลังนมัสการ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของผู้คนข้างนอกมากนัก เพราะพ่อของฉันขังฉันอยู่แต่ในบ้าน เมื่อฉันเดินผ่านและได้ยินเสียงของพวกเขา ฉันจึงเข้าไปและได้เห็นในสิ่งที่พวกเขากำลังทำ
เมื่อฉันเห็นพวกเขา ฉันรู้สึกประหลาดใจกับการนมัสการของพวกเขาและรู้สึกสนใจกับการกระทำดังกล่าว ฉันจึงกล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ นี่คือศาสนาที่ดีกว่าที่ฉันนับถือ” และขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่จากพวกเขาไปไหนเลย กระทั่งดวงอาทิตย์ตกดิน และฉันลืมไปเลยว่า ฉันยังไม่ได้ไปที่สวนของพ่อ ฉันถามพวกเขาว่า “ศาสนานี้มาจากไหนหรือครับ?” พวกเขาตอบว่า “จากแผ่นดินชาม”
ท่านสัลมานเล่าต่อว่า : หลังจากนั้นฉันก็กลับไปหาคุณพ่อ ซึ่งสั่งให้ฉันออกไปทำงานที่เขามอบหมาย เพราะเขายุ่งกับงานของตัวเองที่บ้านมาก ๆ เมื่อฉันกลับไป เขาก็ถามว่า “ลูกพ่อ ลูกไปไหนมา? พ่อไม่ได้สั่งให้ลูกออกไปทำงานบางอย่างที่ลูกสัญญาว่าจะทำอย่างนั้นหรือ?”
ท่านสัลมานกล่าวว่า : ฉันตอบไปว่า “พ่อครับ ผมได้เดินผ่านคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังนมัสการอยู่ในโบสถ์ และผมได้เห็นบางอย่างที่น่าประทับใจจากศาสนาของพวกเขา ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ผมไม่ได้จากพวกเขาไปไหนเลย จนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกดิน”
พ่อจึงกล่าวว่า “ลูกพ่อ ไม่มีความดีงามใด ๆ ในศาสนานั้น ศาสนาของลูกและของบรรพบุรุษของลูก ดีกว่าศาสนานั้นอยู่แล้ว” ฉันกล่าวว่า “ไม่ครับพ่อ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ศาสนาของพวกเขาดีกว่าศาสนาของพวกเรา”
ท่านสัลมานกล่าวว่า : พ่อของฉันเริ่มวิตกกังวลกับท่าทีของฉัน เขามัดเท้าทั้งสองของฉันและขังฉันเอาไว้ ฉันได้ฝากคน ๆ หนึ่งให้ไปหาชาวคริสเตียนกลุ่มนั้นเพื่อบอกกับพวกเขาว่า “หากพ่อค้าคริสเตียนจากแผ่นดินชามได้มาหาพวกท่าน ได้โปรดแจ้งผมด้วยนะครับ” แล้วพ่อค้าคริสเตียนจากแผ่นดินชามก็มาหาพวกเขา พวกเขาจึงแจ้งให้ฉันทราบ ฉันจึงกล่าวว่า “หากพวกเขาทำธุระเสร็จและต้องการกลับไปที่แผ่นดินของตนเอง ได้โปรดบอกผมด้วยนะครับ ผมจะติดตามพวกเขาไปด้วย”
พวกเขาได้ถอดเหล็กที่ตรึงเท้าของฉันออก แล้วฉันก็หนีตามพวกเขาไป กระทั่งฉันได้ไปถึงแผ่นดินชาม เมื่อฉันไปถึงแล้ว ฉันก็ถามว่า “ใครคือคนที่ดีที่สุดในศาสนานี้หรือครับ?” พวกเขาตอบว่า “บาทหลวงท่านหนึ่งในโบสถ์” ฉันก็ได้ไปหาเขาและกล่าวว่า “ผมชอบศาสนานี้มาก และผมอยากเป็นผู้รับใช้ในโบสถ์ของท่าน ผมอยากเรียนรู้กับท่านและนมัสการร่วมกับท่าน” บาทหลวงท่านนั้นก็ตอบว่า “เข้ามาสิ” ฉันจึงเข้าไปและอยู่กับเขา
ปรากฏว่าบาทหลวงคนนี้เป็นคนชั่ว เขาสั่งให้ผู้คนบริจาคและเรียกร้องผู้คนเข้าหาตัวเอง เมื่อประชาชนรวบรวมเงินไปให้เขา เขาก็เก็บมันไว้กับตัวเอง โดยไม่ได้มอบให้กับคนยากจนเลย เขาสะสมทองคำและเงินไว้ในหีบเหล็กมากถึง 7 หีบ ฉันรู้สึกโกรธมากกับสิ่งที่เขาทำลงไป
เมื่อชายคนนี้เสียชีวิต ชาวคริสเตียนก็ได้รวมตัวกันเพื่อฝังศพของเขา ฉันจึงบอกกับพวกเขาว่า “ความจริงแล้วชายคนนี้เป็นคนชั่ว เขาสั่งให้พวกท่านบริจาคและเรียกร้องให้พวกท่านเข้าหาเขา เมื่อเขาได้รับเงินบริจาคไปแล้ว เขาก็เก็บมันไว้กับตัวเอง เขาไม่ได้มอบให้กับคนยากจนเลยแม้แต่น้อย” พวกเขาถามฉันว่า “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีก?” ฉันตอบว่า “ผมสามารถพิสูจน์กับพวกท่านได้ด้วยหีบเหล็กที่เขาซ่อนเอาไว้” พวกเขากล่าวว่า “เอามาให้พวกเรา”
ท่านสัลมานเล่าว่า : พวกเขาได้เข้าไปดูที่ห้องพักของบาทหลวงคนนั้น และพบหีบเหล็ก 7 หีบซึ่งเต็มไปด้วยทองคำและเงิน เมื่อพวกเขาเห็นมันแล้ว พวกเขาก็กล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เราไม่ยอมฝังศพให้เขาเด็ดขาด” แล้วพวกเขาก็ตรึงกางเขนและขว้างก้อนหินใส่ศพของบาทหลวงคนนั้น
ต่อมา พวกเขาก็ได้เชิญบาทหลวงท่านอื่นมารับตำแหน่งแทนบาทหลวงคนนั้น ท่านสัลมานกล่าวว่า : ฉันไม่เคยเห็นใครที่ไม่ได้ละหมาด 5 เวลาที่จะดีไปกว่าเขา เขาสมถะต่อโลกนี้และรักในโลกหน้า อีกทั้งยังมีความประพฤติปฏิบัติที่ดีทั้งในตอนกลางคืนและกลางวัน แล้วฉันก็เริ่มรู้สึกรักเขา เป็นความรู้สึกรักที่ฉันไม่เคยมีให้ใครมาก่อนหน้านี้
แล้วความตายก็มาหาเขา ฉันถามเขาว่า “แล้วหลังจากนี้ไป ผมจะต้องไปหาใครครับ? ท่านมีอะไรจะสั่งเสียผมบ้างไหม?” เขาตอบว่า “ลูกรัก ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ วันนี้พ่อไม่รู้จักใครเลยที่ยืนอยู่บนสิ่งเดียวกันกับที่ฉันยืนอยู่ในศาสนานี้ แท้จริงมนุษย์นั้นเสียหายและเปลี่ยนแปลงศาสนาของพวกเขา อีกทั้งยังละทิ้งหลายอย่างในศาสนาที่พวกเขานับถือ ยกเว้นผู้ชายคนหนึ่งที่เมืองโมซูล เขาคือคน ๆ นั้น เขายืนอยู่บนสิ่งเดียวกับที่พ่อยืนอยู่ ลูกจงไปหาเขาเถิด”
เมื่อชายคนนี้เสียชีวิตและถูกฝังเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เดินทางไปหาชายที่เมืองโมซูล และฉันได้กล่าวกับเขาว่า “ท่านครับ บาทหลวงที่ผมอยู่ด้วยตอนเขาตายบอกว่าท่านอยู่กับสัจธรรม และเขายังบอกอีกว่าท่านยืนอยู่บนศาสนาที่ถูกต้อง” ชายคนนี้จึงพูดว่า “อยู่กับฉันสิ” ฉันจึงอยู่กับเขา
ฉันพบว่าเขาคือผู้ชายที่ดีมากตามที่บาทหลวงคนแรกได้บอกเอาไว้ และเมื่อเขาใกล้จะเสียชีวิต ฉันก็ได้ถามเขาว่า “ท่านครับ บาทหลวงคนก่อนแนะนำให้ผมมาหาท่าน แล้วหลังจากนี้ไป ท่านมีใครที่จะแนะนำให้ผมไปหาบ้างไหมครับ?”
เขาตอบว่า “ลูกรัก ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ พ่อไม่รู้จักใครเลยที่ยืนอยู่บนสิ่งเดียวกันกับที่เรายืนอยู่ในตอนนี้ นอกจากผู้ชายคนหนึ่งที่นุศ็อยบีน เขาคือคน ๆ นั้น จงไปหาเขาเถิด”
ท่านสัลมานเล่าต่อไปว่า : เมื่อชายคนนี้เสียชีวิตและถูกฝังเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ได้เดินทางไปหาชายคนนั้นที่นุศ็อยบีน ฉันเข้าไปหาเขาและบอกสิ่งที่อาจารย์ของฉันได้แนะนำไว้ เขาจึงกล่าวว่า “อยู่กับฉันสิ” ฉันจึงอยู่กับเขา และฉันพบว่าเขาเป็นไปตามที่อาจารย์ได้บอกเอาไว้จริง ๆ ฉันจึงได้อยู่กับผู้ชายที่ดี
ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ไม่นานหลังจากนั้นความตายก็มาหาเขา ฉันจึงถามเขาว่า “ท่านครับ บาทหลวงก่อนหน้านี้ได้แนะนำให้ผมไปหาชายคนหนึ่ง ต่อมาชายคนนั้นก็แนะนำให้ผมมาหาท่าน แล้วท่านมีใครที่จะแนะนำให้ผมไปหาหลังจากนี้ไหมครับ?”
เขาตอบว่า “ลูกรัก ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ พ่อไม่รู้จักใครเลยที่ดำรงอยู่บนศาสนาเดียวกับพวกเรา นอกจากผู้ชายคนหนึ่งที่อะมูริยะฮฺ เขาคือคนที่ยืนอยู่บนสิ่งเดียวกับพวกเรา หากลูกชื่นชอบเขา ก็จงไปหาเขาเถิด แท้จริงเขาอยู่บนความเชื่อเดียวกับพวกเรา”
ท่านสัลมานเล่าว่า : เมื่อชายคนนี้เสียชีวิตและถูกฝังเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ได้ไปหาชายจากอะมูริยะฮฺคนนั้น และฉันได้บอกเรื่องของฉันให้กับเขา เขาจึงกล่าวว่า “อยู่กับฉันสิ” ฉันจึงอยู่กับชายที่ยึดมั่นกับทางนำและคำสอนเดียวกับพี่น้องของเขา (หมายถึง บาทหลวงคนก่อน ๆ) ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นกระทั่งฉันได้ทำงานและมีวัวและแพะตัวเล็ก ๆ บางตัวไว้ในครอบครอง
ท่านสัลมานกล่าวว่า : แล้วกำหนดการของอัลลอฮฺก็มาถึง พระองค์คือผู้ทรงเกียรติและสูงส่งยิ่ง เมื่อชายคนนี้ใกล้จะเสียชีวิต ฉันก็ได้ถามเขาว่า “ท่านครับ ผมเคยอยู่กับคน ๆ หนึ่ง (ชาวคริสตเตียนที่เปอร์เซีย) เขาแนะนำให้ผมไปหาชายคนหนึ่ง (บาทหลวงที่ดี) แล้วชายคนนั้นก็แนะนำให้ผมไปหาชายอีกคน (ที่โมซูล) แล้วชายคนนี้ก็แนะนำให้ผมไปหาชายอีกคนหนึ่ง (ที่นุศ็อยบีน) และชายคนนี้ก็แนะนำให้ผมมาหาท่าน แล้วหลังจากนี้ท่านมีใครจะแนะนำให้ผมไปหาบ้างไหมครับ?”
เขาตอบว่า “ลูกรัก ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ พ่อไม่รู้หรอกว่าลูกจะไปไหน และลูกจะพบว่าไม่มีใครอีกแล้วที่ยึดมั่นกับศาสนาของเราที่พ่อจะแนะนำให้ลูกไปหา แต่ลูกกำลังอยู่ใต้ร่มเงาแห่งยุคสมัยของนบี (ท่านสุดท้าย) แล้ว เขาถูกส่งมาพร้อมกับศาสนาของอิบรอฮีม เขาจะออกมาจากแผ่นดินอาหรับ โดยที่เขาจะอพยพไปยังแผ่นดินหนึ่งที่อยู่ระหว่างหินลาวาดำขนาบ 2 ข้าง ระหว่างทั้งสองมีต้นอินทผลัมจำนวนมาก และเขายังมีสัญญาณต่าง ๆ ที่ไม่สามารถปกปิดได้ (คือ) เขาจะทานสิ่งที่ให้เป็นของขวัญ แต่ไม่ทานของบริจาค ระหว่างไหล่ทั้งสองข้างของเขามีเครื่องหมายแห่งการเป็นนบี (คอตะมุน นุบุววะฮฺ) ถ้าลูกสามารถไปที่นั่นได้ ก็จงไปเถิด”
ท่านสัลมานเล่าต่อว่า : แล้วชายคนนี้ก็เสียชีวิตและถูกฝังเรียบร้อย ฉันอาศัยอยู่ที่อะมูริยะฮฺตามระยะเวลาที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ แล้วพ่อค้ากลุ่มหนึ่งจากบนีกัลบฺก็เดินทางผ่านมา ฉันถามพวกเขาว่า “พวกท่านสามารถพาผมไปที่แผ่นดินอาหรับได้ไหม? แล้วผมจะมอบวัวและแพะพวกนี้ให้กับพวกท่าน?” พวกเขาตอบว่า “ได้สิ”
ฉันจึงมอบวัวและแพะของฉันแก่พวกเขา พวกเขาพาฉันไป เมื่อถึงหุบเขาแห่งหนึ่งที่หมู่บ้านของพวกเขา พวกเขาก็อธรรมฉัน พวกเขาขายฉันให้เป็นทาสรับใช้แก่ชาวยิวคนหนึ่ง ฉันจึงอยู่กับยิวคนนี้ แล้วฉันก็ได้เห็นต้นอินทผลัมจำนวนมาก ฉันหวังว่าแผ่นดินนี้แหละคือแผ่นดินที่พี่น้องของฉันได้บอกไว้
วันหนึ่งขณะที่ฉันนั่งอยู่กับเขา (เจ้านายชาวยิว) ญาติคนหนึ่งจากบนีกุร็อยเซาะฮฺจากเมืองมะดีนะฮฺก็ได้มาหาเขา ญาติคนนั้นได้ซื้อฉันจากเขาและพาฉันไปที่มะดีนะฮฺ และขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันรู้ว่าสถานที่ที่ฉันไปถึงนั้นเหมือนกับที่พี่น้องของฉันได้บอกไว้เลย ฉันอยู่กับเขา (เจ้านายจากบนีกุร็อยเซาะฮฺ) กระทั่งอัลลอฮฺได้ส่งนบีมุฮัมหมัดมาเป็นเราะสูลของพระองค์ ท่านอยู่ที่มักกะฮฺ และฉันไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องราวของท่านเลย เพราะฉันยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง
เมื่อท่านอพยพมาที่มะดีนะฮฺ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ วันหนึ่งฉันอยู่บนยอดต้นอินทผลัมที่ฉันกำลังทำงาน และเจ้านายของฉันก็อยู่ตรงนั้นด้วย แล้วญาติคนหนึ่งของเขาก็มาหาและหยุดอยู่ตรงนั้น เขากล่าวว่า “นี่ท่าน! อัลลอฮฺทรงจัดการกับบนีก็อยละฮฺ (หมายถึง ชาวอันศอร) แล้ว ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ตอนนี้พวกเขากำลังรวมตัวกันที่กุบาอ์ เพื่อต้อนรับการมาถึงของชายคนหนึ่งจากมักกะฮฺ ซึ่งพวกเขาเรียกกันว่า ‘นบี’”
ท่านสัลมานกล่าวว่า : เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันก็ตัวสั่นเทา จนฉันคิดว่าฉันจะต้องตกใส่เจ้านายของฉันแน่ ฉันรีบลงมาจากต้นอินทผลัมและพูดกับญาติของเจ้านายว่า “ท่านพูดว่าอย่างไรนะครับ? ท่านพูดว่าอย่างไรนะ?”
เจ้านายของฉันไม่พอใจและตีฉันอย่างแรง เขากล่าวว่า “เจ้าเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ? ทำงานของเจ้าไป” ฉันจึงกล่าวว่า “ไม่มีอะไรครับ ผมแค่อยากให้แน่ใจว่าญาติของท่านพูดอะไร”
ท่านสัลมานเล่าต่อว่า : ฉันมีบางอย่างที่เก็บสะสมไว้ (หมายถึง อินทผลัม) เมื่อถึงตอนบ่าย ฉันก็เอามันออกมาและไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ตอนนั้นท่านอยู่ที่กุบาอ์ ฉันได้เข้าไปหาท่านและกล่าวว่า “ผมได้ข่าวมาว่า ท่านเป็นคนที่ดีและมิตรสหายที่อยู่กับท่านก็เป็นคนต่างถิ่นที่ยากจน ผมมีของบางอย่างจะบริจาค และผมเห็นว่าพวกท่านควรได้รับมันมากกว่าใคร”
ท่านสัลมานกล่าวว่า : ฉันเข้าไปใกล้ท่านนบี ท่านได้กล่าวกับเศาะหาบะฮฺของท่านว่า “ทานเถิด” แต่ท่านเก็บมือของตัวเองไว้ และไม่ได้ร่วมรับประทานกับเศาะหาบะฮฺ ท่านสัลมานกล่าวว่า : ฉันพูดในใจว่า “นี่คือข้อที่ 1” (สัญญาณการเป็นนบีข้อแรกคือ ไม่ทานของบริจาค)
ฉันกลับไปและรวบรวมอินทผลัมอีกครั้ง เมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺได้ย้าย (จากกุบาอ์) มาที่มะดีนะฮฺแล้ว ฉันก็ได้เข้าไปหาท่านพร้อมกับอินทผลัมที่ฉันสะสมได้ ฉันกล่าวว่า “ผมเห็นว่าท่านไม่ทานของบริจาค นี่คือของขวัญที่ผมอยากจะมอบมันเพื่อให้เกียรติท่านครับ”
ท่านสัลมานกล่าวว่า : ท่านเราะสูลุลลอฮฺรับประทานมันและชวนบรรดาเศาะหาบะฮฺมาร่วมรับประทานกับท่านด้วย ฉันจึงพูดในใจว่า “นี่คือข้อที่ 2” (สัญญาณการเป็นนบีข้อที่ 2 คือ ทานสิ่งที่ให้เป็นของขวัญ)
หลังจากนั้น ฉันก็ได้มาหาท่านเราะสูลุลลอฮฺอีก และขณะนั้นท่านอยู่ที่กุบูรบะกีอฺ โดยติดตามญะนาซะฮฺของเศาะหาบะฮฺท่านหนึ่ง ท่านใส่ผ้า 2 ผืน และนั่งอยู่กับบรรดาเศาะหาะบะฮฺ ฉันให้สลามแก่ท่าน แล้วฉันก็เดินวนรอบ ๆ เพื่อดูว่าที่ด้านหลังของท่านมีเครื่องหมาย (คอตะมุน นุบุววะฮฺ) ที่พี่น้องของฉันได้บอกไว้หรือไม่
เมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺเห็นว่าฉันเดินวน ท่านก็รู้ว่าฉันกำลังมองหาบางอย่าง ท่านจึงเปิดผ้าที่ปิดส่วนบนออก แล้วฉันก็ได้เห็นเครื่องหมายแห่งการเป็นนบี ฉันจึงรู้ว่าท่านคือนบีของอัลลอฮฺ ฉันเข้าไปสวมกอดท่านและจูบลงไปที่เครื่องหมายดังกล่าว แล้วฉันก็ร้องไห้ออกมา ท่านเราะสูลุลลอฮฺได้กล่าวกับฉันว่า “หันมาเถิด” ฉันจึงหันตัวไปและเล่าเรื่องของฉันให้ท่านฟัง เหมือนกับที่ฉันกำลังเล่าให้ท่านฟังนี้แหละ โอ้อิบนุอับบาส
ท่านสัลมานกล่าวต่อว่า : ท่านเราะสูลุลลอฮฺรู้สึกประหลาดใจมาก (กับเรื่องของฉัน) และท่านได้เล่าให้บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านฟังด้วย
หลังจากนั้น ท่านสัลมานก็ยุ่งอยู่กับงานของท่านในฐานะทาสรับใช้ กระทั่งท่านพลาดการต่อสู้ในสงครามบัดรฺและอุหุดร่วมกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ขอพรและความศานติจงมีแด่ท่าน
ท่านสัลมานกล่าวว่า : ท่านเราะสูลุลลอฮฺได้กล่าวกับฉันว่า “จงขอไถ่ตัวเองเถิด สัลมาน!” เจ้านายของฉันก็ได้เขียนเงื่อนไข (การปล่อยตัวฉัน) ด้วยกับอินทผลัม 300 ต้นที่ฉันจะต้องปลูกให้กับเขา รวมถึงทางน้ำ และทองคำน้ำหนัก 40 อูกิยะฮฺ (เท่ากับทองคำประมาณ 4,760 กรัม หรือ 4.76 กิโลกรัม)
ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ขอพรและความศานติจงมีแด่ท่าน ได้กล่าว (กับเศาะหาบะฮฺของท่าน) ว่า “จงช่วยเหลือพี่น้องของพวกท่านเถิด” แล้วพวกเขาก็ช่วยเหลือฉัน ชายคนหนึ่งช่วยฉันด้วยเมล็ดพันธุ์อินทผาลัม 30 ต้น อีกคนช่วย 20 ต้น และอีกคนช่วย 15 ต้น และอีกคนช่วย 10 ต้น คือด้วยจำนวนที่พวกเขามี จนกระทั่งครบ 300 ต้น แล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺก็กล่าวกับฉันว่า “ไปเถิดสัลมาน ไปขุดดินให้กับมัน (เมล็ดพันธุ์ของต้นอินทผลัม) และเมื่อท่านทำเสร็จแล้ว ท่านจงมาหาฉัน ฉันจะเป็นคนปลูกมันด้วยมือของฉันเอง”
ฉันจึงขุดดินและทำทางน้ำ บรรดาเศาะหาบะฮฺได้ช่วยเหลือฉันจนกระทั่งมันเสร็จเรียบร้อย ฉันกลับมาบอกท่านเราะสูลุลลอฮฺ ท่านก็ออกมาที่สถานที่ปลูก เรานำเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นมาให้ท่าน และท่านก็หยิบมันไปปลูกด้วยมือของท่านเอง ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่มีเมล็ดพันธุ์ใดเลยแม้เพียงเมล็ดเดียวที่ตายไป และตอนนี้ฉันจัดการต้นอินทผาลัมเสร็จแล้ว เหลือเพียงทรัพย์สิน (ทองคำ 40 อูกิยะฮฺ) เท่านั้น
ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ขอพรและความศานติจงมีแด่ท่าน ได้นำทองคำเท่าไข่ไก่มาจากทรัพย์เชลย แล้วท่านก็กล่าวว่า “สัลมานกำลังทำอะไรอยู่?” แล้วฉันก็ถูกเรียกให้ไปพบท่าน ท่านกล่าวว่า “สัลมาน! เอาสิ่งนี้ไป และใช้มันจ่ายสิ่งที่เป็นภาระรับผิดชอบของท่านเถิด” ฉันกล่าวว่า “ทองคำนี้มีสถานภาพอย่างไรกับตัวผมหรือครับ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ?” ท่านตอบว่า “รับมันไปเถอะ อัลลอฮฺจะทรงประทานความดีงามแก่ท่านด้วยกับมัน”
ท่านสัลมานกล่าวว่า : ฉันจึงรับมันมาชั่งน้ำหนัก ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของสัลมานอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ มันหนัก 40 อูกิยะฮฺพอดี ฉันเอามันไปจ่ายและฉันก็ได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ ฉันจึงได้ร่วมต่อสู้กับท่านเราะสูลุลลอฮฺในสงครามค็อนดัก แล้วหลังจากนั้นฉันก็ไม่เคยพลาดการต่อสู้ร่วมกับท่านเราะสูลุลลอฮฺในทุกสงครามอีกเลย
หวังว่าพวกเราทุกคนจะได้รับแรงบันดาลใจบางอย่างจากท่านสัลมาน อัลฟาริสีย์ ครับ
——————-
อ้างอิง :
– บันทึกโดยอะหมัด ใน “อัลมุสนัด” หะดีษเลขที่ 23737, อิบนุสะอดฺ ใน “อัฏเฏาะบะกอต” หะดีษเลขที่ 4709 และอัฏเฏาะบะรอนีย์ ใน “อัลมุอฺญัม อัลกะบีร” จากท่านอิบนุอับบาส หะดีษหะสัน