หะดีษเลขที่ 16
เรื่องราวของอุมมุสุลัยมฺ
حَدَّثَنِي زُهَيْرُ بْنُ حَرْبٍ وَأَبُو مَعْنٍ الرَّقَاشِيُّ (وَاللَّفْظُ لِزُهَيْرٍ) قَالاَ : حَدَّثَنَا عُمَرُ بْنُ يُونُسَ حَدَّثَنَا عِكْرِمَةُ بْنُ عَمَّارٍ حَدَّثَنَا إِسْحَاقُ بْنُ أَبِي طَلْحَةَ حَدَّثَنِي أَنَسُ بْنُ مَالِكٍ قَالَ :كَانَتْ عِنْدَ أُمِّ سُلَيْمٍ يَتِيمَةٌ وَهِيَ أُمُّ أَنَسٍ فَرَأَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْيَتِيمَةَ فَقَالَ { آنْتِ هِيَهْ لَقَدْ كَبِرْتِ، لاَ كَبِرَ سِنُّكِ } فَرَجَعَتِ الْيَتِيمَةُ إِلَى أُمِّ سُلَيْمٍ تَبْكِي، فَقَالَتْ أُمُّ سُلَيْمٍ : مَا لَكِ يَا بُنَيَّةُ؟، قَالَتِ الْجَارِيَةُ : دَعَا عَلَىَّ نَبِيُّ اللَّهُ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ لاَ يَكْبَرَ سِنِّي فَالآنَ لاَ يَكْبَرُ سِنِّي أَبَدًا (أَوْ قَالَتْ : قَرْنِي)،فَخَرَجَتْ أُمُّ سُلَيْمٍ مُسْتَعْجِلَةً تَلُوثُ خِمَارَهَا حَتَّى لَقِيَتْ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالَ لَهَا رَسُولُ اللَّهِ صَلى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ { مَا لَكِ يَا أُمَّ سُلَيْمٍ؟ } فَقَالَتْ : يَا نَبِيَّ اللَّهِ أَدَعَوْتَ عَلَى يَتِيمَتِي؟، قَالَ { وَمَا ذَاكِ يَا أُمَّ سُلَيْمٍ؟ } قَالَتْ : زَعَمَتْ أَنَّكَ دَعَوْتَ أَنْ لاَ يَكْبَرَ سِنُّهَا وَلاَ يَكْبَرَ قَرْنُهَا،قَالَ : فَضَحِكَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، ثُمَّ قَالَ { يَا أُمَّ سُلَيْمٍ أَمَا تَعْلَمِينَ أَنَّ شَرْطِي عَلَى رَبِّي أَنِّي اشْتَرَطْتُ عَلَى رَبِّي، فَقُلْتُ : إِنَّمَا أَنَا بَشَرٌ أَرْضَى كَمَا يَرْضَى الْبَشَرُ، وَأَغْضَبُ كَمَا يَغْضَبُ الْبَشَرُ، فَأَيُّمَا أَحَدٍ دَعَوْتُ عَلَيْهِ مِنْ أُمَّتِي بِدَعْوَةٍ لَيْسَ لَهَا بِأَهْلٍ أَنْ تَجْعَلَهَا لَهُ طَهُورًا وَزَكَاةً وَقُرْبَةً يُقَرِّبُهُ بِهَا مِنْهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ } وَقَالَ أَبُو مَعْنٍ : يُتَيِّمَةٌ، بِالتَّصْغِيرِ فِي الْمَوَاضِعِ الثَّلاَثَةِ مِنَ الْحَدِيثِ
ซุฮัยรฺ บินหัรบฺ และอบูมะอัน อัรเราะกอชีย์ ได้รายงานให้กับฉัน (คืออิมามมุสลิม และสำนวนนี้เป็นของซุฮัยรฺ) ทั้งสองได้กล่าวว่า : อุมัร บินยูนุส ได้รายงานแก่พวกเราว่า อิกริมะฮฺ บินอัมมาร ได้รายงานแก่พวกเราว่า อิสหาก บินอบีฏ็อลหะฮฺ ได้รายงานแก่พวกเราว่า ท่านอนัส บินมาลิก ได้รายงานแก่ฉัน โดยท่านได้เล่าว่า :เด็กผู้หญิงที่กำพร้าคนหนึ่งอาศัยอยู่กับอุมมุสุลัยมฺ คุณแม่ของท่านอนัส แล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็เห็นเด็กกำพร้าคนนี้ และท่านได้กล่าวว่า “เธอดูโตขึ้นแล้ว แต่ (ขอให้) อายุของเธอไม่เพิ่มขึ้นด้วย” แล้วเด็กผู้หญิงกำพร้าคนนี้ก็กลับไปหาอุมมุสุลัยมฺพลางร้องไห้ อุมมุสุลัยมฺจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้นลูก?” เธอตอบว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ขอดุอาอ์ไม่ให้อายุของหนูเพิ่มขึ้น นับจากนี้หนูจะไม่โตขึ้นอีกต่อไปแล้ว”อุมมุสุลัยมฺก็รีบออกมาจากบ้านโดยสวมผ้าคลุมศีรษะ กระทั่งเธอได้พบกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ท่านเราะสูลุลลอฮฺได้ถามเธอว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ อุมมุสุลัยมฺ?” เธอตอบว่า “โอ้ท่านนบีของอัลลอฮฺ ท่านขอดุอาอ์ที่ไม่พึงประสงค์แก่ลูกสาวที่กำพร้าของดิฉันหรือคะ?” ท่านนบีก็ถามว่า “เธอหมายความว่าอย่างไร อุมมุสุลัยมฺ?” อุมมุสุลัยมฺกล่าวว่า “เธออ้างว่าท่านได้ขอดุอาอ์ไม่ให้อายุของเธอเพิ่มขึ้น”ท่านอนัสกล่าวว่า : แล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺก็หัวเราะออกมา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม หลังจากนั้นท่านก็ได้กล่าวว่า “อุมมุสุลัยมฺ เธอไม่รู้หรือว่าฉันมีเงื่อนไขบางอย่างกับพระผู้เป็นเจ้าของฉัน ซึ่งฉันจะต้องทำตามเงื่อนไขนั้นกับพระองค์ ฉันเคยกล่าวว่า ‘แท้จริง ฉันเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ฉันพอใจเหมือนที่คนทั่วไปพอใจ และฉันรู้สึกโกรธเหมือนที่คนทั่วไปรู้สึกโกรธ ถ้ามีใครคนใดในประชาชาติของฉันที่ฉันเคยขอดุอาอ์ (หรือพูดบางอย่าง) ที่ไม่เหมาะสมกับเขา มันจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยชำระล้างความผิด เป็นทานซะกาต และเป็นสิ่งที่จะทำให้เขาใกล้ชิดกับพระองค์อัลลอฮฺในวันโลกหน้า’”อบูมะอันกล่าวว่า : คำว่า “เด็กหญิงกำพร้าตัวน้อย” (ยุตัยยิมะฮฺ) ซึ่งเป็นคำในรูปตัศฆีรนั้น ถูกกล่าวไว้ 3 ครั้งในหะดีษบทนี้ (แทนคำว่า “เด็กหญิงที่กำพร้า” (ยะตีมะฮฺ))(บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2603)
สถานะหะดีษ : เศาะฮีหฺ