หะดีษเลขที่ 21
ความโศกเศร้าของท่านอัมรู บินอัลอาศ ขณะกำลังจะเสียชีวิต
أَنَّ عَبْدَ الرَّحْمَنِ بْنَ شِمَاسَةَ حَدَّثَهُ قَالَ : لَمَّا حَضَرَتْ عَمْرَو بْنَ الْعَاصِ الْوَفَاةُ بَكَى، فَقَالَ لَهُ ابْنُهُ عَبْدُ اللَّهِ : لِمَ تَبْكِي؟ أَجَزَعًا عَلَى الْمَوْتِ؟ فَقَالَ : لَا وَاللَّهِ وَلَكِنْ مِمَّا بَعْدُ، فَقَالَ لَهُ : قَدْ كُنْتَ عَلَى خَيْرٍ، فَجَعَلَ يُذَكِّرُهُ صُحْبَةَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَفُتُوحَهُ الشَّامَ، فَقَالَ عَمْرٌو : تَرَكْتَ أَفْضَلَ مِنْ ذَلِكَ، كُلِّهِ شَهَادَةَ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ، إِنِّي كُنْتُ عَلَى ثَلَاثَةِ أَطْبَاقٍ لَيْسَ فِيهَا طَبَقٌ إِلَّا قَدْ عَرَفْتُ نَفْسِي فِيهِ، كُنْتُ أَوَّلَ شَيْءٍ كَافِرًا، فَكُنْتُ أَشَدَّ النَّاسِ عَلَى رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَلَوْ مِتُّ حِينَئِذٍ وَجَبَتْ لِي النَّارُ، فَلَمَّا بَايَعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، كُنْتُ أَشَدَّ النَّاسِ حَيَاءً مِنْهُ، فَمَا مَلَأْتُ عَيْنِي مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ, وَلَا رَاجَعْتُهُ فِيمَا أُرِيدُ حَتَّى لَحِقَ بِاللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ حَيَاءً مِنْهُ، فَلَوْ مِتُّ يَوْمَئِذٍ قَالَ النَّاسُ : هَنِيئًا لِعَمْرٍو، أَسْلَمَ وَكَانَ عَلَى خَيْرٍ، فَمَاتَ فَرُجِيَ لَهُ الْجَنَّةُ، ثُمَّ تَلَبَّسْتُ بَعْدَ ذَلِكَ بِالسُّلْطَانِ وَأَشْيَاءَ، فَلَا أَدْرِي عَلَيَّ أَمْ لِي، فَإِذَا مِتُّ فَلَا تَبْكِيَنَّ عَلَيَّ وَلَا تُتْبِعْنِي مَادِحًا وَلَا نَارًا، وَشُدُّوا عَلَيَّ إِزَارِي فَإِنِّي مُخَاصِمٌ، وَسُنُّوا عَلَيَّ التُّرَابَ سَنًّا، فَإِنَّ جَنْبِيَ الْأَيْمَنَ لَيْسَ بِأَحَقَّ بِالتُّرَابِ مِنْ جَنْبِي الْأَيْسَرِ، وَلَا تَجْعَلَنَّ فِي قَبْرِي خَشَبَةً وَلَا حَجَرًا، فَإِذَا وَارَيْتُمُونِي فَاقْعُدُوا عِنْدِي قَدْرَ نَحْرِ جَزُورٍ وَتَقْطِيعِهَا أَسْتَأْنِسْ بِكُمْ
อับดุรเราะหฺมาน บินชิมามะฮฺ เล่าว่า : เมื่อท่านอัมรู บินอัลอาศ ใกล้จะเสียชีวิต ท่านร้องไห้ออกมา อับดุลลอฮฺ (บินอัมรู) ลูกชายของท่านจึงถามว่า "พ่อร้องไห้ทำไม? พ่อกลัวตายหรือครับ?" ท่านอัมรูตอบว่า "เปล่าเลย ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ พ่อกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นมากกว่า" อับดุลลอฮฺจึงกล่าวว่า "พ่ออยู่บนความดีงามแล้ว" แล้วเขาก็เอ่ยถึงมิตรภาพระหว่างท่านอัมรูกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และการพิชิตแผ่นดินชาม ท่านอัมรูจึงกล่าวว่า "ลูกข้ามสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นไปนะ คือการปฏิญาณตนว่า 'ไม่มีพระเจ้า (ที่แท้จริง) นอกจากอัลลอฮฺ' แท้จริงพ่อเคยมีชีวิตอยู่ใน 3 สภาพ และไม่มีสภาพใดเว้นแต่พ่อจะรู้ตัวดีว่ากำลังอยู่ในสภาพนั้น (1) พ่อเคยเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา (กาฟิร) มาก่อน และ (2) พ่อเคยเป็นคนที่ (ต่อต้านอย่าง) รุนแรงต่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ถ้าพ่อตายไปในตอนนั้น พ่อจะต้องตกนรกแน่นอน และ (3) ตอนที่พ่อให้สัตยาบันกับท่านเราะสูลุลลอฮฺนั้น พ่อคือคนที่รู้สึกอายต่อท่านมากที่สุด พ่อจึงไม่มองท่านและไม่เคยขอความเห็นจากท่านในสิ่งที่พ่อต้องการเลย จนกระทั่งท่านได้กลับไปหาอัลลอฮฺ ผู้ทรงเกียรติและสูงส่งยิ่ง และพ่อก็ยังรู้สึกอายต่อท่าน (เหมือนเดิม) ถ้าพ่อตายไปในวันนี้ ผู้คนจะพูดว่า 'ขอแสดงความยินดีกับอัมรู เขาเข้ารับอิสลามและอยู่บนความดีงาม แล้วเขาก็เสียชีวิตและหวังว่าเขาจะได้เข้าสวรรค์' แต่แล้วต่อมา พ่อก็คลุกคลีอยู่กับอำนาจและเงินทอง และพ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือความหายนะหรือความดีงามสำหรับพ่อ ดังนั้นหากพ่อตายไป ลูกอย่าได้ร้องไห้ให้กับพ่อเด็ดขาด และอย่าได้ติดตามพ่อด้วยกับคำชมหรือกองไฟ และขอให้ลูกรัดผ้าของพ่อให้แน่น เพราะพ่อจะโต้เถียง (กับคนที่ขัดแย้งด้วย) ลูกจงค่อย ๆ ถมดินลงบนตัวพ่อ เพราะซี่โครงข้างขวาของพ่อไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะสัมผัสกับดินมากไปกว่าซี่โครงข้างซ้าย และอย่าได้วางไม้หรือก้อนหินบนหลุมศพของพ่อเด็ดขาด และเมื่อลูกต้องการจากพ่อไป ขอให้ลูกนั่งลงใกล้ ๆ (หลุมกุบูรของ) พ่อนานเท่าเวลาที่ใช้เชือดอูฐและเนื้อของมัน เพราะพ่อรู้สึกดีกับลูก ๆ เสมอ"(บันทึกโดยอะหมัด หะดีษเลขที่ 17780 ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีหฺ)
สถานะหะดีษ : เศาะฮีหฺ