
หะดีษที่
42
ความประเสริฐของการอดทนและการอิสติรญาอ์
عَنْ أُمِّ سَلَمَةَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهَا قَالَتْ : أَتَانِي أَبُو سَلَمَةَ يَوْمًا مِنْ عِنْدِ رَسُولِ اللَّهِ فَقَالَ : لَقَدْ سَمِعْتُ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ قَوْلًا فَسُرِرْتُ بِهِ ، قَالَ : لَا تُصِيبُ أَحَدًا مِنَ الْمُسْلِمِينَ مُصِيبَةٌ فَيَسْتَرْجِعَ عِنْدَ مُصِيبَتِهِ ، ثُمَّ يَقُولُ : اللَّهُمَّ أْجُرْنِي فِي مُصِيبَتِي ، وَاخْلُفْ لِي خَيْرًا مِنْهَا ؛ إِلَّا فُعِلَ ذَلِكَ بِهِ قَالَتْ أُمُّ سَلَمَةَ : فَحَفِظْتُ ذَلِكَ مِنْهُ ، فَلَمَّا تُوُفِّيَ أَبُو سَلَمَةَ اسْتَرْجَعْتُ وَقُلْتُ : اللَّهُمَّ أْجُرْنِي فِي مُصِيبَتِي وَاخْلُفْ لِي خَيْرًا مِنْهُ ؛ ثُمَّ رَجَعْتُ إِلَى نَفْسِي قُلْتُ : مِنْ أَيْنَ لِي خَيْرٌ مِنْ أَبِي سَلَمَةَ؟،فَلَمَّا انْقَضَتْ عِدَّتِي اسْتَأْذَنَ عَلَيَّ رَسُولُ اللَّهِ وَأَنَا أَدْبُغُ إِهَابًا لِي ، فَغَسَلْتُ يَدَيَّ مِنْ الْقَرَظِ وَأَذِنْتُ لَهُ ؛ فَوَضَعْتُ لَهُ وِسَادَةَ أَدَمٍ حَشْوُهَا لِيفٌ فَقَعَدَ عَلَيْهَا ، فَخَطَبَنِي إِلَى نَفْسِي ، فَلَمَّا فَرَغَ مِنْ مَقَالَتِهِ قُلْتُ : يَا رَسُولَ اللَّهِ مَا بِي أَنْ لَا تَكُونَ بِكَ الرَّغْبَةُ فِيَّ ؛ وَلَكِنِّي امْرَأَةٌ فِيَّ غَيْرَةٌ شَدِيدَةٌ ، فَأَخَافُ أَنْ تَرَى مِنِّي شَيْئًا يُعَذِّبُنِي اللَّهُ بِهِ ؛ وَأَنَا امْرَأَةٌ دَخَلْتُ فِي السِّنِّ ، وَأَنَا ذَاتُ عِيَالٍ ؛ فَقَالَ : أَمَّا مَا ذَكَرْتِ مِنْ الْغَيْرَةِ فَسَوْفَ يُذْهِبُهَا اللَّهُ مِنْكِ ، وَأَمَّا مَا ذَكَرْتِ مِنْ السِّنِّ فَقَدْ أَصَابَنِي مِثْلُ الَّذِي أَصَابَكِ ، وَأَمَّا مَا ذَكَرْتِ مِنْ الْعِيَالِ فَإِنَّمَا عِيَالُكِ عِيَالِي قَالَتْ : فَقَدْ سَلَّمْتُ لِرَسُولِ اللَّهِ فَتَزَوَّجَهَا رَسُولُ اللَّهِ ؛ فَقَالَتْ أُمُّ سَلَمَةَ : فَقَدْ أَبْدَلَنِي اللَّهُ بِأَبِي سَلَمَةَ خَيْرًا مِنْهُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
รายงานจากท่านหญิงอุมมีสะละมะฮ์ เราฎิยัลลอฮุอันฮา เล่าว่า : วันหนึ่งอบูสะละมะฮ์ได้มาหาฉัน หลังจากที่เขากลับมาจากพบท่านเราะสูลิลลาฮ์ แล้วเขาก็ได้กล่าวว่า : แท้จริงฉันได้ยินคำพูดหนึ่งจากท่านเราะสูลิลลาฮ์ ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำให้ฉันเป็นสุขอย่างมาก โดยท่านเราะสูลได้กล่าวว่า : "ไม่มีมุสลิมคนใดที่ประสบบททดสอบ แล้วเขาก็ อิสติรญาอ์ (คือกล่าวคำว่า : อินนา ลิลลาฮิ วะอินนา อิลัยฮิ รอญิอูน) ในขณะที่ประสบบททดสอบ แล้วเขาก็ขอดุอาอ์ว่า 'อัลลอฮุมมะญุรนี ฟี มุศีบะตี วัคลุฟนี ค็อยร็อน มินฮู' ( ความว่า : โอ้อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงตอบแทนฉันในความทุกข์ของฉันนี้ และโปรดทดแทนให้ฉันด้วยสิ่งที่ดียิ่งกว่าเถิด ) นอกจากอัลลอฮ์จะทรงประทานสิ่งนั้นให้เขา" และท่านหญิงอุมมุสะละมะฮ์ ได้เล่าต่อว่า : ฉันก็จดจำคำนี้จากเขา (จากอบีสะละมะฮ์) และเมื่ออบู สะละมะฮ์ได้เสียชีวิต ฉันก็เลยอิสติรญาอ์ และอ่านดุอาอ์ ว่า "อัลลอฮุมมะญุรนี ฟี มุศีบะตี วัคลุฟนี ค็อยร็อน มินฮู" แล้วฉันก็นึกในใจของตัวเองว่า "ใครกันที่จะดีกว่าอบีสะละมะฮ์ ได้?"แล้วเมื่อครบกำหนดอิดดะฮ์ (ช่วงเวลารอหลังจากสามีเสียชีวิต) ของฉัน ท่านเราะสูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ขออนุญาตเข้ามาหาฉันในขณะที่ฉันกำลังฟอกหนังสัตว์อยู่ ฉันจึงล้างมือจากน้ำยาฟอก และอนุญาตให้ท่านเข้ามา แล้วฉันได้วางหมอนที่ทำจากหนังโดยใส่ใยต้นอินทผลัมข้างในให้ท่านเราะสูล แล้วท่านก็นั่งลงบนหมอนนั้น จากนั้นท่านได้สู่ขอฉัน และเมื่อท่านเราะสูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม พูดจบ ฉันจึงตอบว่า “โอ้ท่านเราะสูลัลลอฮ์ มิใช่ว่าฉันไม่ต้องการท่าน แต่ฉันเป็นผู้หญิงที่มีความหึงหวงรุนแรง ฉันกลัวว่าถ้าแสดงความหึงหวงต่อท่านแล้ว พระองค์อัลลอฮ์จะทรงลงโทษฉัน และอีกอย่างฉันก็เข้าสู่วัยชราแล้ว และฉันมีลูกติดด้วย” แล้วท่านเราะสูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็กล่าวว่า : "สำหรับเรื่องที่เธอบอกว่ามีความหึงหวงนั้น อัลลอฮ์จะทรงทำให้มันหมดไปจากเธอ สำหรับเรื่องที่เธอบอกว่าอายุมากนั้น ฉันเองก็เป็นเหมือนเธอ และสำหรับเรื่องที่เธอบอกว่ามีลูกติด ซึ่งพวกเขาก็จะเป็นลูก ๆ ของฉันด้วย”ท่านหญิงอุมมุสะละมะฮ์ ได้เล่าต่อว่า : ดังนั้น ฉันจึงตอบรับข้อเสนอของท่านเราะสูลิลลาฮ์ และท่านได้แต่งงานกับฉัน และท่านหญิงอุมมุสะละมะฮ์ ได้เล่าอีกว่า : แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงทดแทนสิ่งที่ดีกว่าอบี สะละมะฮ์ ให้แก่ฉัน นั่นก็คือ ท่านเราะสูลัลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ ฮะดีษเลขที่ 16344)
สถานะหะดีษ: เศาะฮีหฺ